Logan Lerman (LL)

Logan Lerman  (LL)

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ยาจากทะเล

ยาจากทะเล
โดย. ดร.อนุชิต พลับรู้การภาควิชาเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
เมื่อเราพูดถึงสมุนไพรและยาที่ได้จากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ เรามักจะนึกผลิตภัณฑ์ที่ได้จากพืชสมุนไพร ซึ่งเป็นพืชที่ขึ้นบนบก หรือถ้าเป็นพืชน้ำ ก็มักเป็นพืชที่สามารถเก็บได้โดยง่ายจากแหล่งน้ำจืด แต่น้อยคนที่จะคิดเลยไปถึงว่า อันที่จริงแล้วนั้น สมุนไพร มีความหมายครอบคลุมรวมไปถึงสิ่งที่นำมาใช้เป็นยาที่ได้จากทั้งพืช สัตว์ และแร่ธาตุ และได้มาจากทุกแหล่งที่สามารถหาได้ ซึ่งรวมไปถึงท้องทะเลด้วยเช่นกัน
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกในเลยที่เราจะสามารถนำสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในท้องทะเลมาพัฒนาเพื่อค้นหายาใหม่ได้ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะเป็นพืชหรือสัตว์ทะเล เพราะท้องทะเลจัดเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก คาดกันว่าไม่น้อยกว่า 95% ของสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ อาศัยอยู่ในทะเล และเนื่องจากระบบนิเวศน์ของท้องทะเลมีความหลากหลายสูงอย่างยิ่ง ดังนั้น สิ่งมีชีวิตที่เป็นสมาชิกของระบบนิเวศน์นี้ จึงต้องมีวิวัฒนาการเพื่อปรับปรุงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้สามารถอยู่รอดในระบบนิเวศน์นั้นๆ ได้ ซึ่งนำไปสู่การสร้างสารเคมีใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนกับที่เราเคยพบมาก่อนในพืชและสัตว์ที่เราพบบนบก
ปัจจุบันนี้ มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่หันมาให้ความสนใจกับสิ่งมีชีวิตในทะเล โดยเฉพาะกลุ่มของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง และพบว่าสัตว์ทะเลเหล่านี้ มีศักยภาพในการเป็นแหล่งยาใหม่ที่น่าสนใจ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในทะเล โดยเฉพาะสัตว์ในกลุ่มฟองน้ำ เพรียงหัวหอม และมอสทะเล (สัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง อาศัยรวมเป็นกลุ่มเคลือบพื้นผิวเช่นก้อนหิน ลักษณะคล้ายตะไคร่น้ำ) เข้ามามีบทบาทในฐานะของแหล่งที่มาของยาใหม่ ในลักษณะเดียวกับพืชสมุนไพรนั้น อาจมีปัจจัยที่เกิดจากสภาพการดำรงชีวิตของสัตว์เหล่านี้ ซึ่งมีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนกับสัตว์ส่วนใหญ่
ฟองน้ำ เพรียงหัวหอม และมอสทะเล เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในทะเลที่ดำรงชีพแบบเกาะติดอยู่กับที่ กินอาหารโดยอาศัยการกรองน้ำทะเลผ่านช่องว่างในตัว แล้วดักจับแพลงตอนเล็กๆ ที่ติดมากับน้ำทะเลนั้นเป็นอาหาร การที่สัตว์เหล่านี้ใช้ชีวิตแบบเกาะติดกับที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ กลายเป็นจุดอ่อน เนื่องจากสัตว์เหล่านี้ ไม่สามารถเคลื่อนที่หลบหนีสัตว์อื่นที่เป็นผู้ล่าและเคลื่อนไหวได้ เช่นปลาและสัตว์พวกหอยหลายชนิด นอกจากนี้ ทั้งฟองน้ำ เพรียงหัวหอม และมอสทะเลยังมีร่างกายที่อ่อนนุ่ม ไม่มีโครงแข็งป้องกันตัวจากภายนอก วิธีการหนึ่งที่สัตว์เหล่านี้สร้างขึ้นระหว่างขั้นตอนวัฒนาการ คือ การสร้างสารเคมีเพื่อใช้ป้องกันตัว สารเคมีที่สร้างขึ้น อาจมีผลต่อรสชาติ หรืออาจมีผลขับไล่สัตว์อื่น และที่สำคัญ คืออาจมีผลต่อกระบวนการทางสรีรวิทยาของสัตว์อื่น ทำให้ชา บาดเจ็บ หรือตายได้
สารเคมีที่สัตว์เหล่านี้สร้างขึ้นนี่เอง ที่กลายมาเป็นจุดสนใจของนักวิทยาศาสตร์ในสาขาที่เกี่ยวกับการค้นหายาใหม่ ทั้งนี้ โดยอาศัยสมมติฐานว่า ในขณะที่ยาทุกชนิดย่อมทำให้เกิดอาการพิษ ถ้าเราใช้ในขนาดที่มากเกินกว่าที่ใช้เป็นยาได้ หรือถ้าเราดัดแปลงสูตรโครงสร้างทางเคมีในบางตำแหน่งไปแม้แต่เพียงเล็กน้อย ดังนั้น ในทางกลับกัน สารที่มีฤทธิ์ต่อระบบทางสรีรวิทยาและมีคุณสมบัติเป็นสารพิษในขนาดหนึ่งก็อาจนำมาใช้เป็นยาได้ ถ้าเราสามารถปรับขนาดการใช้ยา หรือปรับปรุงสูตรโครงสร้างทางเคมีให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการใช้ยานั้นๆ
มีสารเคมีและยาหลายชนิดที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ ที่เราอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากท้องทะเล เช่น
- ambergris หรืออำพันขี้ปลา ซึ่งได้จากสำรอกของปลาวาฬ และใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตน้ำหอมและในเครื่องสำอางหลายชนิด
- spermaceti หรือไขปลาวาฬ เป็นไขที่พบในส่วนหัวของปลาวาฬสเปิร์ม ใช้เป็นส่วนประกอบในการเตรียมตำหรับยาครีม โลชั่น และยาขี้ผึ้ง
- วุ้นและกรดอัลจินิก ได้จากสาหร่ายทะเล ใช้เป็นสารเพิ่มความหนืดในตำรับยาแขวนตะกอนและยาอิมัลชั่น
- กรดไคนิก ได้จากสาหร่ายสีแดง มีฤทธิ์เป็นยาถ่ายพยาธิ
นอกเหนือจากนี้ ในปัจจุบัน ยังมีการพัฒนายาใหม่หลายชนิด ที่ได้มาจากท้องทะเลเช่นกัน ยาเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีฤทธิ์เป็นยาต้านมะเร็ง ยาที่มีใช้ในโรงพยาบาลโดยทั่วไปแล้ว ได้แก่ยาที่มีชื่อว่า cytarabine ซึ่งเป็นยาสำหรับรักษามะเร็งในเม็ดเลือดขาว (Leukemia) และเป็นยาที่พัฒนาและปรับปรุงสูตรโครงสร้างมาจากสารที่ได้จากฟองน้ำชนิดหนึ่ง นอกเหนือจากนี้ ยังมีสารเคมีที่สกัดได้จากสัตว์และพืชทะเลอีกหลายชนิดที่มีฤทธิ์คล้ายๆ กัน คือมีแนวโน้มที่จะใช้เป็นยาต้านมะเร็งได้ เช่น ecteinascidin 743 ซึ่งได้จากเพรียงหัวหอมชนิดหนึ่ง aplidine ซึ่งได้จากเพรียงหัวหอมเช่นกัน และ dolastatin 10 ซึ่งได้จากทากทะเล ขณะนี้ สารเหล่านี้กำลังอยู่ในขั้นการทดลองในทางคลินิก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น