Logan Lerman (LL)

Logan Lerman  (LL)

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทดสอบการส่งงาน

ทดสอบการส่งงานครั้งที่ 1 ที่นี่

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สมุนไพรแก้ไข้

อาการไข้?????ร่างกายของคนเราจำเป็นต้องมีการปรับอุณหภูมิให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม ไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิของอากาศภายนอก เพื่อให้การทำงานของร่างกายเป็นไปได้อย่างปกติ ศูนย์ที่ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมินี้อยู่ในสมองส่วนกลาง ซึ่งศูนย์นี้จะมีหน้าท่ควบคุมอุณหภูมิรับสัญญาณจากบริเวณต่างๆของร่างกาย และคอยควบคุมให้ร่างกายเก็บความร้อน สร้างความร้อนเพิ่มหรือลดความร้อนโดยถ่ายเทความออกไปมากขึ้น อุณหภูมิปกติของคนไม่ได้คงที่ตลอดเวลา มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในแต่ละช่วงของวัน โดยเฉพาะในช่วงค่ำ 18.00-20.00 น. อุณหภูมิมักสูงสุดและจะค่อยๆลดลงจนต่ำสุดในเวลาใกล้สว่าง 2.00-4.00 น. และจะเพิ่มสูงขึ้นอีกเช่นนี้ทุกวัน การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเช่นนี้สังเกตเห็นได้ชัดในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่????ไข้ เป็นอาการที่แสดงถึงความผิดปกติของร่างกาย หมายถึง สภาวะที่อุณหภูมิของร่างกายสูงกว่า 37 องศาเซลเซียส ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สบาย ผิวหนังร้อน โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก ลำตัว ซอกรักแร้และขาหนีบ เป็นต้น?????ไข้จำแนกตามระดับอุณหภูมิได้เป็น 3 ระดับ คือ?????ไข้ต่ำ อุณหภูมิร่างกายอยู่ระหว่าง 37.0 ํc - 38.9 ํc ?????ไข้ปานกลาง อุณหภูมิร่างกายอยู่ระหว่าง 38.9 ํc - 39.5 ํc ?????ไข้สูง อุณหภูมิร่างกายอยู่ระหว่าง 39.5 ํc - 40.0 ํc ?????สาเหตุของไข้มีมากมาย ดังนี้คือ1. การติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และโปรโตซัว เช่น ไข้หวัด ไข้มาลาเรีย ไข้จากแผล ฝีหนอง2. การกระตุ้นจากเหตุผิดปกติบางอย่างในร่างกายที่ไม่ใช่การติดเชื้อ เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง3. ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิมิได้รับการกระทบกระเทือนจากความผิดปกติในสมองโดยตรง เช่น เนื้องอกในสมอง เส้นเลือดในสมองแตก4. ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิมิได้รับการกระทบกระเทือนจากเหตุภายนอก เช่น การผ่าตัด การตื่นเต้นสุดขีด เป็นต้น5. การแพ้ยาหรือเซรุ่ม เช่น ไข้ภายหลังการให้เลือด6. เหตุอื่นๆ เช่น การออกกำลังกายกลางแดด เป็นต้น?????การวัดไข้โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า เทอร์โมมิเตอร์ จะช่วยจำแนกความหนักเบาของไข้ได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่มีอุปกรณ์ให้ใช้หลังมือสัมผัสหน้าผาก ลำตัว หรือบริเวณอื่นก็พอรู้สึกได้คร่าวๆ?????อาการไข้ที่ควรส่งโรงพยาบาล?????อาการไข้ ที่เกิดร่วมกับอาการต่อไปนี้จัดเป็นอาการที่เป็นอันตราย ควรส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว คือ1. ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว2. คอแข็ง ก้มไม่ลง หรือทารกที่มีอาการกระหม่อมโป่งตึง3. ขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ค่อยขึ้น4. กลัวน้ำ5. ชัก6. หอบหรือเจ็บหน้าอกรุนแรง7. ผิวหนังซีดหรือเป็นสีเหลือง หรือมีจุดแดง หรือจ้ำเขียวตามตัว ปวดตามข้อหรือบวม8. ปวดสีข้าง ปัสสาวะขุ่น?????สมุนไพรลดไข้ส่วนใหญ่ จะมีฤทธิ์ลดไข้อย่างเดียว ไม่มีฤทธิ์แก้ปวดควบคู่เหมือนยาแผนปัจจุบัน และพบว่าสมุนไพรจำพวกนี้มักจะมีรสขมรับประทานยาก ทั้งวิธีใช้ส่วนใหญ่เป็นวิธีต้ม ไม่มีการกลบกลิ่น รส แต่อย่างไรก็ดี รสขมนี้สามารถทำให้การหลั่งน้ำลายเพิ่มขึ้น กระตุ้นให้อยากอาหาร มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยซึ่งต้องการสารอาหารเพิ่มเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงเช่นเดิม?????สมุนไพรแก้ไข้ ควรนำมาใช้กับอาการไข้ปานกลางหรือต่ำ และมีข้อควรระวัง ดังนี้ คือ1. เป็นอาการไข้ที่ไม่นานเกิน 7 วัน2. ไม่มีอาการร่วมกับไข้ที่รุนแรง เช่น หนาวสั่นมาก ปวดศีรษะรุนแรง เจ็บหน้าอก หรือปวดท้องรุนแรง3. ไข้ที่เกิดจากการอักเสบที่ผิวหนัง เช่น แผลผุพอง ฝี นอกจากใช้ยาแก้ไข้ ให้ใช้ยาฆ่าเชื้อ พร้อมกับการทำความสะอาดแผลหรือผ่าฝี เพื่อรักษาสาเหตุ4. ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ขวบ เพราะเด็กมีความทนต่อยาต่ำกว่าผู้ใหญ่5. ถ้าใช้สมุนไพรแก้ไข้นาน 3-4 วัน อาการคงเดิมหรือเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวลง ควรเปลี่ยนวิธีการรักษา???
?สมุนไพรลดไข้ ได้แก่บอระเพ็ด ใช้เถาสดครั้งละ 2 คืบครึ่ง หรือ 30-40 กรัม ตำคั้นเฉพาะน้ำหรือต้มกับน้ำ 3 ส่วนเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มจนหมด วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าและเย็น หรือดื่มเมื่อมีอาการชิงช้าชาลี ใช้เถาสดยาว 2 นิ้วต่อครั้ง ต้มน้ำ 3 ส่วน เคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มก่อนอาหาร วันละ 1-2 ครั้ง หรือเมื่อมีอาการย่านาง ใช้รากแห้งครั้งละ 1 กำมือ (15 กรัม) ต้มน้ำดื่มก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง ลักกะจั่น ใช้แก่นที่มีสีแดงหรือที่เรียกว่า จันทน์แดง ประมาณ 5-10 ชิ้น (แต่ละชิ้นกว้างยาวประมาณ 2*3 นิ้ว) สับให้มีขนาดเล็กพอประมาณ ต้มกับน้ำ 6 ถ้วย เคี่ยวให้เหลือ 4 ถ้วย แบ่งดื่มครั้งละครึ่งถ้วยเมื่อมีไข้ หรือใช้ยาประสะจันทน์แดงชนิดผง ละลายน้ำสุกครั้งละ 1 ช้อนกาแฟ???????????????????????????????????????? ขอบคุณ ข้อมุลจากเวปไซต์สมุนไพร


โดย : www.halalthailand.com

มะตูมสมุนไพรคลายร้อน

มะตูม
มะตูมเป็นไม้ยืนต้น มีชื่อพื้นเมืองหลายอย่างเรียกกันแตกต่างไป เช่น ภาคเหนือเรียก มะปิน ภาคใต้เรียก กะทันตาเถร ตูม ตุ่มตัง ภาคกลางเรียก มะตูม ภาคอีสานเรียก บักตูม หมากตูม เขมรเรียก พะเนิว เป็นต้น แต่สรรพคุณทางยาหรือคุณค่าประโยชน์ทางอาหารถือได้ว่ามะตูมเป็นพืชสมุนไพรยอดฮิตอีกชนิดหนึ่ง ที่ตลาดสมุนไพรขาดไม่ได้และผู้บริโภคก็หาซื้อได้ง่าย
นอกจากนั้นแล้วในด้านความเชื่อโบราณมีความเชื่อว่า มะตูมเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรมีไว้ในบริเวณบ้าน โดยปลูกไว้ทาง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ร่วมปลูกกับไผ่รวก และทุเรียน ถือว่าเป็นเคล็ดลับในชื่อเรียกที่เป็นมงคลนาม จะทำให้เกิดกำลังใจ ให้เกิดความมานะพยายามที่จะต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต นอกจากนี้มะตูมยังเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมและพิธีมงคลของไทย การทำน้ำมนต์เพื่อสะเดาะเคราะห์ ครอบครูจะใช้ใบมะตูมเป็นองค์ประกอบในพิธี สำหรับในทางไสยศาสตร์ ชาวฮินดูถือว่าไม้มะตูมเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ และใบมะตูมเป็นใบไม้ที่ป้องกันเสนียดจัญไร และขับภูติผีปีศาจได้
ส่วนต่างๆ ของมะตูมที่ใช้เป็นยา ได้แก่ ราก ใบ ผลแก่และสุก เปลือกราก ทั้ง 5 รสและสรรพคุณในตำรายาไทย 1. ราก มีรสฝาดปร่า ชา ขื่นเล็กน้อย แก้พิษฝี แก้ไข้ แก้ลมหืดหอบ ไอช่วยบำบัดเสมหะ รักษาน้ำดี 2. ใบสด มีรสฝาด ปร่า ซ่า ขื่น มัน เป็นยาบำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร แก้โรคลำไส้ แก้ท้องเดิน แก้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ น้ำคั้นจากใบทาแก้หวัด แก้บวม แก้เยื่อตาอักเสบ 3. ผลมะตูมแก่ รสฝาดหวาน มีสรรพคุณบำรุงธาตุ เจริญอาหารและช่วยขับลมผาย 4. ผลมะตูมสุก รสหวานเย็น สรรพคุณแก้ลม แก้เสมหะ แก้มูกเลือด บำรุงไฟธาตุ แก้กระหายน้ำ ขับลม รสฝาดปร่าซ่าขื่น แก้ปวดศีรษะ ตาลาย เจริญอาหาร ลดความดันโลหิตสูง 5. เปลือกรากและลำต้น รสฝาดปร่าซ่าขื่น แก้ไข้จับสั่น ขับลมในลำไส้
ขนาดและวิธีใช้
ช่วยขับลมผาย ช่วยเจริญอาหาร ใช้ผลมะตูมแก่ทั้งลูกขูดผิวให้หมด ทุบพอร้าวๆ ต้มน้ำเติมน้ำตาลเล็กน้อยดื่มน้ำ น้ำที่ได้มีรสหอม เรียกว่า "น้ำอัชบาล" แก้กระหายน้ำ แก้ลม แก้เสมหะ รับประทานเนื้อผลมะตูมสุก แก้พิษฝี แก้ไข้ แก้ลมหืดหอบ ไอ นำรากไปคั่วไฟให้เหลือง แล้วนำไปดองสุราเพื่อกลบกลิ่น แก้โรคลำไส้ แก้ท้องเดิน แก้หวัด ใช้ใบรับประทานเป็นผัก แก้ปวดศีรษะ ตาลาย ลดความดันโลหิตสูง ใช้ทั้ง 5 ต้มรับประทาน แก้ธาตุพิการ แก้ท้องเสีย ใช้ผลอ่อนหั่นผึ่งให้แห้ง บดเป็นผงหรือต้มรับประทาน โดยใช้ตัวยา 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 5 แก้ว นานประมาณ 10-30 นาที ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ทุก 2 หรือ 4 ชั่วโมง แล้วแต่ว่าเป็นมากเป็นน้อย หรืออาจจะซื้อมะตูมแห้งจากร้านขายยา 5-6 แว่น ต้มกับน้ำประมาณ 2 ถ้วยแก้ว เดือดแล้วเคี่ยวต่อไปเล็กน้อย ยกลง ตั้งไว้ให้เย็นดื่มครั้งละ ครึ่งแก้วเติมน้ำตาล แก้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ แก้บวม ใช้ใบสดคั้นเอาน้ำรับประทาน
ข้อแนะนำ - ตำรายานี้เป็นเพียงยาระงับอาการของโรคเท่านั้น ถ้าใช้รักษาโรคภายใน 1 วันไม่ได้ผล (ยกเว้นโรคเรื้อรัง เช่น กระเพาะ, หืด) ควรหยุดใช้ยาทันทีเมื่อมีความเจ็บป่วย หากอาการรุนแรงขึ้น ไม่ควรรักษาด้วยตนเองควรปรึกษาผู้ชำนาญ - ควรใช้เมื่อยามจำเป็นเท่านั้น เพราะยานี้ใช้รักษาโรคค่อนข้างรุนแรง เช่น ท้องเสียรุนแรง - ถ้าท้องเสียควรดื่มน้ำมากๆ เติมน้ำตาลทรายและเกลือลงไปด้วยจะดีมาก
สาระสำคัญ - ผลแก่มีสารที่เป็นเมือก และน้ำมันระเหย - ผลสุกมีสารที่เป็นเมือก น้ำมันระเหย
ประโยชน์ทางอาหาร
ส่วนที่ใช้เป็นผัก ยอดอ่อน ผลดิบ
ช่วงฤดูกาลที่เก็บ ยอดอ่อนออกตลอดปี ลูกอ่อนพบในช่วงฤดูฝน ผลสุกมีในช่วงกลางฤดูหนาวถึงฤดูแล้ง
การปรุงอาหาร คนไทยทุกภาครับประทานยอดอ่อนและใบอ่อนของมะตูมเป็นผักสด ในตลาดท้องถิ่นมักพบในมะตูมอ่อนจำหน่ายเป็นผักชาวเหนือรับประทานแกล้มลาบ ชาวอีสานรับประทานร่วมกับก้อย ลาบหรือแจ่วป่น ชาวใต้รับประทานร่วมกับน้ำพริกและแกงรสจัด สำหรับภาคกลางไม่นิยมรับประทานยอดอ่อน แต่พบว่ามีการใช้มะตูมดิบมาปรุงเป็นยำมะตูม
ประโยชน์อื่น
ไม้มะตูมใช้ทำเกวียน ลูกหีบ หวี ยางในมะตูมใช้แทนกาวได้ และเปลือกผลทำเป็นสีย้อมผ้าให้สีเหลืองได้
ที่กล่าวมาแล้วก็เป็นเรื่องสารพัดประโยชน์ของมะตูม ร้อนนี้ก็อย่าลืมเรียกหามะตูมมาบริโภคอย่างน้อยต้มน้ำมะตูมดื่มแก้กระหายคลายร้อนก็ได้


โดย : www.halalthailand.com

ผมสวยด้วยสมุนไพร

ารสร้างเสน่ห์ให้กับตนเองด้วยการดูแลรักษาร่างกายให้สะอาด ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เป็นสิ่งที่ทุกคนทำเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว แต่การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในการดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย ต้องคำนึงถึงเป็นพิเศษ เพราะของดีราคาถูกนั้น มักจะไม่ค่อยพบได้ง่ายนัก และแทบจะหาตัวอย่างไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นสบู่ แป้ง ยาสีฟัน ยาสระผม ครีมนวดผม
ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีราคาถูกมากกว่าผลิตภัณฑ์อื่น ที่มีวางขายอยู่ในท้องตลาด เราควรมีข้อคิด และควรจะดูให้ดี เพราะผลิตภัณฑ์นั้นอาจจะหมดอายุ หรือมีคุณภาพไม่ดี อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
การดูแลความสะอาดของเส้นผมก็เช่นเดียวกัน เราควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ดูลักษณะสี กลิ่น ส่วนประกอบ จนกระทั่งวันเดือนปีที่ผลิต ผู้ผลิต ว่าเชื่อถือได้หรือไม่ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่จะมาดูแลเส้นผมซึ่งได้แก่ ยาสระผม ครีมนวดผม น้ำมันแต่งผม หรืออื่นๆ จะต้องมีความละเอียดรอบคอบ
ถ้าเราเลือกของที่คุณภาพไม่ดี นอกจากจะทำให้สุขภาพเส้นผมเสียแล้ว บางครั้งก็เป็นอันตรายต่อหนังศีรษะ ใบหู ใบหน้า บางคนอาจจะมีอาการแพ้เป็นเม็ดผื่นขึ้นตามบริเวณศีรษะ และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งถ้าเกิดอาการเหล่านั้นแล้ว การรักษาก็มักจะต้องยุ่งยาก ใช้เวลา เสียทั้งงาน เสียทั้งเงิน เสียบุคลิก และทำให้เราขาดความมั่นใจได้
ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างประเทศ ต่างก็สนใจ และหันกลับมาศึกษาธรรมชาติมากขึ้น ทั้งด้านอาหาร ยา เครื่องใช้ต่างๆ ว่าภูมิปัญญาดั้งเดิมนั้น เขาใช้อะไรในการดูแลเส้นผม เพราะคนในสมัยโบราณคงไม่มีโรงงานผลิตแชมพู หรือผลิตภัณฑ์เสริมความงามเช่นปัจจุบัน แต่เขาก็สามารถดูแลสุขภาพผม ผิวหน้ากันมาได้ และค่อนข้างดีไม่มีภาวะอื่นแทรกซ้อนอย่างเช่นปัจจุบัน
การศึกษาค้นคว้า และหันกลับไปสนใจการใช้ชีวิตประจำวัน ของคนสมัยโบราณตามหนังสือ ตำรา คัมภีร์เก่าๆ ที่มีการบันทึกไว้ ตลอดจนการซักถามจากบรรพบุรุษ หมอพื้นบ้าน ถึงการดูแลเส้นผมสมัยนั้น เขาก็นำเอาพืชสมุนไพรที่มีอยู่ใกล้ตัวมาทำเป็นยาสระผม เพื่อให้ผมสะอาดปราศจากรังแค ทำให้ผมดำ รักษาโรคของหนังศีรษะ เช่น ชันนะตุ การรักษาเหาในเด็ก ส่วนใหญ่นำสมุนไพรที่หาง่ายในท้องถิ่นมาใช้ทั้งนั้น
นั่นก็เป็นอีกประการหนึ่งที่ทำให้เราหันกลับมาศึกษา และสนใจสมุนไพรในการดูแลรักษาเส้นผมอีกครั้งหนึ่ง อีกประการหนึ่งอันตรายจากสารเคมีที่มีผสมอยู่ในยาสระผม หรือผลิตภัณฑ์ในปัจจุบัน ก็ทำให้เกิดอาการแพ้ มีรังแค และที่สำคัญมีราคาค่อนข้างสูง เนื่องจากมีการแข่งขันกันด้านการตลาด การโฆษณามีบริษัทที่เป็นคู่แข่งมากมาย บริษัทต่างๆ เหล่านี้ก็พยายามที่จะนำเอาสมุนไพร ที่เป็นสารธรรมชาติมาผสมในผลิตภัณฑ์ เพื่อช่วยในการเพิ่มรายได้ เพิ่มความสนใจของประชาชนในยุคปัจจุบัน
สมุนไพรที่มีคนโบราณนำมาใช้ในการดูแลเส้นผม และหนังศีรษะนั้น เป็นสมุนไพรใกล้ตัวปลูกไว้ริมรั้วบ้าน หาได้ง่าย นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น มะกรูด อัญชัน ว่านหางจระเข้ มะคำดีควาย เป็นต้น สมุนไพรที่ใช้ในการดูแลสุขภาพผม และหนังศีรษะส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่หาได้ง่ายมีอยู่ทั่วไป ราคาถูกที่ใช้บ่อย ได้แก่

มะกรูด

ชื่ออื่น :
มะกรูด มะหูด (หนองคาย) ส้มมั่วผี (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์ :
Citrus hystrix DC.
สรรพคุณ :
ผลของมะกรูดมีน้ำมันหอมระเหย น้ำมะกรูดมีรสเปรี้ยวช่วยให้ผมสะอาดเป็นเงางาม ทำให้ผมนิ่ม แก้คันศีรษะ ป้องกันการเกิดรังแค

วิธีใช้ : นำผลของมะกรูดปิ้งไฟให้สุก ผ่าครึ่งนำผลมะกรูดที่ผ่าครึ่งถูบริเวณศีรษะ หรือนำไปผสมกับน้ำอุ่น เมื่อสระผมเสร็จแล้วเอาน้ำมะกรูดสระซ้ำ โดยใช้มะกรูดครึ่งซึกขยี้ไปบนผม น้ำมะกรูดเป็นกรดอ่อนๆ จะช่วยให้ผมสะอาด น้ำมันหอมระเหยจะทำให้ผมชุ่มชื้นเป็นเงางามและจัดทรงง่าย

มะคำดีควาย

ชื่ออื่น :
ส้มป่อยเทศ (ภาคเหนือ) มะชัก ชะแช ชะเหล่เด่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ :
Sapindus rark A.DC.
สรรพคุณ :
ใช้ผล มีรสขม แก้ชันตุ แก้รังแค
วิธีใช้ : ใช้ผลมะคำดีควายทุบพอแหลก ต้มในน้ำให้เดือด นำน้ำที่ได้สระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะทำให้หนังศีรษะสะอาด ป้องกันการเกิดรังแค แก้โรคชันตุ

ว่านหางจระเข้

ชื่ออื่น :
ว่านไฟไหม้ (ภาคเหนือ) หางตะเข้ (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ :
Aloe barbadensis Mill.
สรรพคุณ :
วุ้นในใบว่านหางจระเข้ที่แก่มีสาร Aloeemodin, Aloesin, Aloin ช่วยรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แผลเรื้อรัง และช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ วุ้นในใบมีสรรพคุณรักษาแผล ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย
วิธีใช้ : นำว่านหางจระเข้ที่แก่มาปอกเปลือก เอาแต่ส่วนที่เป็นวุ้น นำมาบดแล้วเอาวุ้นประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ เวลาสระผมหยดน้ำวุ้นจากว่านหางจระเข้ขยี้ผมให้ทั่วทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด ช่วยบำรุงหนังศีรษะ ช่วยลดอาการคัน

ดอกอัญชัน

ชื่ออื่น :
แดงชัน (เชียงใหม่) เอื้องชัน (ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์ :
Clitoria ternatea Linn.
สรรพคุณ :
ใช้กลีบดอกสด ตำให้ละเอียด นำน้ำที่ได้ชะโลมผม จะช่วยให้ผมดกดำเป็นเงางาม

วิธีใช้ : ใช้กลีบดอกสดของดอกอัญชันตำให้ละเอียดผสมกับน้ำ กรองกากออก นำน้ำที่ได้ชะโลมผมทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก จะช่วยให้ผมดำเป็นเงางาม ในสมัยก่อนคนชอบนำดอกอัญชันสดมาเขียนคิ้วเด็กอ่อน เพราะเชื่อว่าจะทำให้คิ้วดก และดำ


โดย : www.halalthailand.com

กินเพื่ออยู่

ท่านเคยถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า ?ทำไมคนเราจึงต้องกิน? มิหนำซ้ำ กินวันละ 3 ? 4 มื้อ?? หากจะถามท่านเดี๋ยวนี้ ท่านคงให้คำตอบที่คล้าย ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น กินเพราะหิว กินเพราะถึงเวลากิน กินเพราะเคยชิน หรือกินให้มันเสร็จไปวัน ๆ แต่มีหลายคนบอกว่า กินเพื่ออยู่ แม้ว่าคำตอบของแต่ละคนไม่ใช่เป็นคำตอบที่ผิด แต่คำตอบสุดท้ายที่ตอบว่า กินเพื่ออยู่นั้น ดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่สร้างความพึงพอใจให้แก่บรรดานักโภชนาการ มากกว่าคำตอบอื่น ๆเหตุผล เพราะ คำว่า ?กินเพื่ออยู่? นั้น สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิดของเจ้าของคำตอบที่อาจจะมองเห็นความสำคัญของการกินอาหารเข้าสู่ร่างกายเพื่อร่างกายจะได้นำอาหารไปใช้ประโยชน์ที่ทำให้ชีวิตคนเราดำรงอยู่ได้อย่างปกติสุข บุคคลกลุ่มนี้ส่วนมากจะแสวงหาความรู้ด้านอาหารและโภชนาการ เพื่อจะนำมาใช้ประโยชน์ต่อการเลือกกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการในแต่ละมื้อ แต่ละวัน จะมีความใส่ใจต่อการประเภทชนิดของอาหาร ปริมาณอาหารและความสะอาด ปลอดภัยซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะมีโอกาสสูงต่อการมีสุขภาพดี มีชีวิตที่ยืนยาวในทางตรงกันข้าม คนที่ให้คำตอบว่า กินเพราะหิว กินเพราะถึงเวลากินนั้น มักจะเป็นกลุ่มคนที่ให้ความสำคัญต่อการกินอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการน้อยกว่ากลุ่มแรก เพราะกลุ่มนี้จะกินอะไรก็ได้ที่มีอยู่ ที่เคยกิน หรือที่มีให้กินเพื่อดับความหิว กินเพื่อให้ท้องอิ่ม เมื่อท้องอิ่มหายหิวก็ถือว่าเสร็จภารกิจในแต่ละมื้อแต่ละวัน ขาดการใส่ใจที่จะพิจารณาชนิดอาหาร ความมีคุณค่าและการกินแบบสมดุล แถมยังไม่ขวนขวายที่จะหาความรู้ด้านการกิน จึงกินแบบที่ตนเองเคยยึดปฏิบัติมาจนชาชินติดต่อกันตลอดมา ในที่สุดคนเหล่านี้จะตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการมีภาวะสุขภาพที่ย่ำแย่ไม่แข็งแรง เจ็บป่วยบ่อย

โดย : www.halalthailand.com

นมแม่


นมแม่กับการป้องกันโรคภูมิแพ้
คำถามจากคุณแม่?ในครอบครัวมีคุณย่าเป็นโรคภูมิแพ้ค่ะลูกคนแรกไม่ได้ให้นมแม่เพราะไม่มีความรู้ แรกๆ ลูกมีผื่นที่หน้าเพราะแพ้นมวัว หลังจากนั้นจากสี่ปีแรกลูกเข้าออกโรงพยาบาลตลอดเป็นปอดบวมบ้าง หลอดลมอักเสบบ้าง หมอบอกว่าลูกเป็นภูมิแพ้ ตอนนี้กำลังจะมีลูกคนที่สอง ดิฉันควรจะทำอย่างไรคะถ้าไม่อยากให้เป็นเหมือนคนโต??
คำตอบจากคุณหมอความกังวลใจของคุณแม่ท่านนี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยขึ้นเพราะปัจจุบันนี้ เราพบว่าเด็กในเมืองใหญ่เป็นโรคภูมิแพ้ เช่น หอบหืด จมูกอักเสบจากภูมิแพ้เพิ่มมากขึ้น ยิ่งถ้ามีประวัติโรคภูมิแพ้ในครอบครัวด้วยแล้ว โอกาสเกิดโรคภูมิแพ้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเช่น ถ้าพ่อหรือแม่ เป็นโรคภูมิแพ้ลูกมีโอกาสเป็น 30 % ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้โอกาสเกิดโรคนั้นสูงถึง 60% - 70%
แม้กรรมพันธุ์จะเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคภูมิแพ้แต่การที่ทารกได้รับอาหารที่มีโปรตีนแปลกปลอม เช่น นมผสมหรืออาหารโปรตีนอื่นๆ เช่น ถั่ว เนื้อสัตว์ ในระยะที่ทางเดินอาหารยังไม่แข็งแรง คือระยะอายุ 6 เดือนแรก ก็ยิ่งทำให้มีโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้เพิ่มมากขึ้น โดยทั่วไปทารกที่กินนมผสมมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าทารกที่กินนมแม่ 2-7 เท่า
ทารกระยะ 6 เดือนแรกยังมีข้อจำกัดในการย่อย และสลาย โปรตีนแปลกปลอม
? เยื่อบุทางเดินอาหารไม่แข็งแรง ยังมีช่องว่างระหว่างเซลล์กว้างกว่าปกติ? น้ำย่อยอาหารยังมีไม่พอ? สารภูมิคุ้มกันที่จะคอยดักจับของแปลกปลอม ยังมีไม่พอ
ดังนั้นถ้าได้รับโปรตีนแปลกปลอมเช่นนมผสมหรืออื่นๆ โปรตีนเหล่านั้นจึงมีโอกาสยังอยู่ในสภาพโมลากุลขนาดใหญ่ เพราะย่อยไม่ได้เต็มที่ หลุดลอดไปกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ได้เพระไม่มีภูมิคุ้มกันคอยดักจับและเยื่อบุทางเดินอาหารที่อยู่กันอย่างหลวมๆ โปรตีนในน้ำนมแม่นั้นเป็นโปรตีนของคนจึงไม่กระตุ้นให้เกิดการแพ้
ให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียวใน 6 เดือนแรก ช่วยลดโอกาสการเกิดปัญหาภูมิแพ้
สำหรับคุณแม่ท่านนี้ มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ในครอบครัวควรอย่างยิ่งที่จะเลี้ยงลูกคนที่สองด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียว อย่างน้อยที่สุดเป็นเวลา 6 เดือน เนื่องจากมีหลักฐานสนับสนุนว่าสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ทั่งที่ผิวหนัง แพ้อาหาร และโรคหืดหอบได้อย่างชัดเจนในช่วงอายุ 2 ปีแรกและยังส่งผลลดความรุนแรงของโรคได้ ถ้าเป็นโรคเหล่านี้ในตอนโต
สำหรับคุณแม่ที่ไม่อยากให้ลูกเป็นภูมิแพ้ ควรปฎิบัติดังนี้
1. เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน 2. ถ้าลูกมีอาการแพ้เช่น มีผื่นแพ้ ในช่วงที่ให้นมลูกแม่ควรหลีกเลี่ยงกินอาหารแพ้ง่าย เช่น ไข่ นมวัว ถั่วลิสง3. เริ่มให้อาหารอื่นเสริมแก่ลูก หลังอายุ 6 เดือน โดยเริ่มจากอาหารที่มีโอกาสก่อโรคภูมิแพ้ น้อยก่อน เช่น ข้าวบด กล้วยครูด ฟักทอง เนื้อไก่ ไข่แดง4. ถ้าครอบครัวมีกรรมพันธุ์เป็นโรคภูมิแพ้ควรชะลออาหารแพ้ง่ายเช่น ไข่ขาว ถั่ว ปลา โดยพิจารณาให้อย่างน้อยหลังลูกอายุ 1 ปี 5. ป้องกันลูกจากสิ่งแวดล้อมที่แพ้ง่าย เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ขนแมว ขนสุนัขโดยทั่วไปทารกที่กินนมผสมมีโอกาสที่เป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าทารกที่กินนมแม่ 2-7 เท่า

จาก : www.halalthailand.com

ระวังยาแก้ปวด

การบริโภคยาแก้ปวดโดยปราศ จากคำแนะนำจากหมอ นอกจากจะทำให้อาการเจ็บปวดที่ต้องการบรรเทาไม่หายตามที่ต้องการแล้ว ยังอาจทำให้เกิดโรคอื่นแทรกซ้อนโดยเฉพาะในรูปของยาชุดยาลูกกลอน หรือยาจีน และยาแผนโบราณ เพราะมักมีส่วนผสมของยาประเภทสเตียรอยด์ หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุจากการเปิดเผยของผศ.น.พ.พัชรพล อุดมเกียรติ ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ปัจจุบันพบว่าผู้ป่วยที่มีอาการปวดเมื่อย ปวดข้อ และปวดกล้ามเนื้อตามร่างกาย ส่วนใหญ่มักจะซื้อยามารับประทานเอง ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เพราะยาประเภทนี้มักจะมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนและโรคข้อเสื่อมได้ โดยเฉพาะข้อตะโพก ซึ่งยาเหล่านี้มักจะแฝงมาในรูปของยาชุด ยาลูกกลอน ยาจีนแผนโบราณ และยาผง พฤติกรรมการใช้ยาของคนไทยส่วนใหญ่มักจะนิยมซื้อมารับประทานเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ หรือปวดเมื่อยตามร่างกาย มักจะไม่ยอมไปพบแพทย์ คิดว่าแค่ซื้อยาแก้ปวดมารับประทานอาการก็จะหายเอง ซึ่งอันตรายมาก.
โดย : www.halalthailand.com

อิ่มท้องแต่พร่องคุณค่า

ความหิว หรือ ความอยากจะกินอาหาร ไม่ได้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงร่างกายต้องการสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือเมื่อร่างกายคนเราขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง ความหิวก็ไม่ใช่เป็นตัวกำหนด ความหิวเกิดจากธรรมชาติของร่างกายที่มีกลไกในการหลั่งน้ำย่อยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกหิว เมื่อถึงเวลากิน หรือเมื่อเห็นอาหารที่ความรู้สึกบอกว่าน่ากิน น่าชิมดังนั้น เมื่อเกิดความหิว เราก็จะกินอาหารจนกระทั่งกินอิ่ม อิ่มท้องแล้วเราก็จะหยุดกินเช่นเดียวกันกับกินอาหารจนอิ่มท้องก็ไได้เป็นสิ่งบ่งบอกว่าอาหารที่กินอิ่มในมื้อนั้น ร่างกายจะได้รับสารอาหารครบถ้วนเพียงพอหรือไม่ เพราะอาการอิ่มบอกเพียงท้องเราได้บรรจุอาหารไว้เต็มแล้ว แต่อาการอิ่มไม่ได้บอกว่าท้องเรา ร่างกายเราได้อิ่ม สารอาหารไปด้วยหรือเปล่า กว่าที่จะรู้ว่าท้องยังไม่อิ่มสารอาหารก็ต่อเมื่อร่างกายแสดงอาการเป็นโรคขาดสารอาหารออกมาให้เห็น ซึ่งต้องใช้เวลานานจึงจะปรากฏอาการ พอถึงเวลานั้นอาจสายเกินแก้ไขตัวอย่าง ในเด็กอายุต่ำกว่า 4 เดือน ความเป็นจริงควรกินนมแม่เพียงอย่างเดียวไม่ให้กินอาหารอื่นใดเลย แม้กระทั่งน้ำ แต่มีแม่ไทยจำนวนมากที่ป้อนกล้วยครูดและข้าวบดให้ลูกิน บางเวลาป้อนตั้งแต่คลอดออกมาไม่ถึง 10 วัน กล้วยกับข้าวบดทำให้เด็กอิ่มท้องได้ แต่ร่างกายเด็กจะได้สารอาหารไม่พอเพียง ครบถ้วน เพราะข้าวและกล้วยเป็นอาหารประเภทแป้ง มีโปรตีน และสารอาหารอื่นต่ำมากเมื่อเทียบกับน้ำนมแม่ จึงทำให้เด็กขาดสารอาหาร เจริญเติบโตช้าในผู้ใหญ่ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเกิดหิวขึ้นมาแล้ว ตั้งหน้าตั้งตากินข้าวมากกว่าการกินกับข้าวหรือกินกับข้าวที่ด้อยคุณค่า เช่น กินเฉพาะข้าวกับผัดผักบุ้งไฟแดงไม่ใส่หมู กินจนกระทั่งอิ่มท้องอิ่มได้ด้วยความรู้สึก แต่รับรองได้ว่าร่างกายได้รับสารอาหารประเภทโปรตีนไม่เพียงพอ หรือกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2 ซอง โดยไม่เติมผักหรือเนื้อสัตว์เลย ทำให้เราอิ่มท้องได้แน่นอน แต่ร่างกายหรือท้องไม่ได้มีอาการแสดงออกมาให้เรารู้ว่าร่างกายยังไม่อิ่มสารอาหาร การกินอาหารแบบนี้เป็นประจำจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคขาดสารอาหาร ร่างกายอ่อนแอและเจ็บป่วยบ่อยในเมื่อความรู้สึกของคนเราบอกได้เฉพาะความอิ่มอาหาร แต่ไม่ได้บอกว่าอิ่มสารอาหารแต่เราก็สามารถที่จะทำให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารอย่างพอเพียงไปพร้อมกับความอิ่มอาหารได้โดยการใส่ใจต่อการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ทุกมื้อที่เรากินอาหารอิ่มท้องแต่ร่างกายต้องไม่พร่องสารอาหาร โดยการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ทุกมื้อ

โดย : www.halalthailand.com

ปัญหาขอบตาดำ

ดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ เป็นประโยคที่ได้ยินเป็นประจำ การที่เราจะมองใครคนหนึ่งว่าสวยหรือไม่ ตาก็เป็นจุดที่สำคัญจุดหนึ่ง ถ้าใครมีดวงตาที่ผ่องใส ผิวหนังรอบตาไม่มีมลทิน ก็ทำให้หน้าดูสวยไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าใครมีปัญหาขอบตาคล้ำ ก็ทำให้ใบหน้าดูหมอง ไม่สดใส ความสวยงามก็ลดลงไปแล้ว ดังนั้น การรักษาผิวรอบดวงตาที่หมองคล้ำทำให้กลับมาสดใสจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ปัญหาใต้ตาคล้ำ เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยๆ ในคนไทย ก่อนจะมาถึงการรักษา ควรจะต้องทราบถึงสาเหตุเสียก่อน เพื่อให้การรักษาได้ผลดีขึ้น และเป็นการป้องกันไม่ให้รอยดำเป็นมากขึ้น
สาเหตุของขอบตาดำ
ขอบตาดำ มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ บางคนมีสาเหตุจากหลายๆ สาเหตุ
- กรรมพันธุ์ ถ้าคนไทยมีขอบตาดำ แล้วลองหันไปมองญาติพี่น้อง พ่อแม่ของคุณดูว่าเป็นแบบเดียวกับที่คุณเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นละก็ การรักษาและป้องกันอาจจะยาก
- ภูมิแพ้ คนที่เป็นภูมิแพ้ จะพบว่าเส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่มากกว่าคนทั่วไป และเส้นเลือดดำเหล่านี้นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ขอบตาของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ดูคล้ำกว่าคนทั่วไป
- การระคายเคืองแถวๆ รอบตา เช่น การขยี้ตาบ่อยๆ เพราะการขยี้ตาจะกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มจำนวนขึ้นบริเวณนั้น
- แพ้ครีมทารอบดวงตา บางคนอาจแพ้สารบางอย่างในครีม ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่า ใครจะแพ้สารตัวใด ใครบ้างที่จะเป็น ถ้ารู้ว่าแพ้คงต้องหยุดการทาครีมดังกล่าว ถ้าไม่ทราบอาจต้องพึ่งการทดสอบว่าแพ้สารที่ต้องสงสัยหรือไม่
- อดนอน สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในสภาพสังคมปัจจุบัน ใครที่รู้ตัวว่าอดนอนบ่อยๆ หรือนอนดึก ก็ขอให้นอนเร็วขึ้น เพื่อที่ขอบตาจะได้ดูสดใสกว่าเดิม
- เป็นปานโอตะ ปานโอตะคือ เซลล์เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้ พบในบางคนที่มีความผิดปกติที่เซลล์สร้างเม็ดสีอยู่ผิดที่ ซึ่งมักพบบริเวณรอบๆ ตา โดยมากมักจะเป็นข้างเดียว แต่มีบางคนอาจเป็นได้ทั้ง 2 ข้าง ทำให้ขอบตาดูเขียวคล้ำ
การรักษาขอบตาดำ
ถ้าไม่ใจร้อน รักษาแบบได้ผลช้าๆ ก็ใช้เป็นยาทาใต้ตาที่มีส่วนผสมของ Whitening เช่น วิตามินซี แต่ถ้าต้องการให้เห็นผลดีมากขึ้น และได้ผลเร็วๆ การรักษาด้วยเลเซอร์ หรือเครื่องแสงเข้มข้น เป็นวิธีที่ได้ผลดี เลเซอร์ที่ใช้รักษาขอบตาดำได้ ที่นิยมมากที่สุดคือ Nd-yag laser นอกจากนี้เลเซอร์ตัวนี้ยังสามารถรักษาภาวะปานโอตะได้ด้วย หลังยิงเลเซอร์ ผิวบริเวณนั้นจะเป็นสะเก็ด และสะเก็ดจะหลุดออกภายใน 1-2 อาทิตย์ และผิวของตาที่คล้ำก็จะดูขาวขึ้น เครื่องแสงเข้มข้น คล้ายกับเลเซอร์ แต่ต่างกันที่หลังจากยิงเสร็จแล้วจะไม่เป็นแผล แต่อาจจะเป็นสะเก็ดฝอยๆ เล็กน้อย แต่เครื่องนี้ไม่สามารถรักษาภาวะปานโอตะได้
ขอบตาดำเป็นเรื่องที่ต้องรักษากันนาน และถ้าไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดี นอนหลับไม่เพียงพอ ไม่ช้าขอบตาก็กลับมาดำได้อีก ดังนั้น การดูแลเอาใจใส่รอบดวงตาเสียแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเริ่มเป็นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด


โดย : www.halalthailand.com

ทำไมสิวไม่หายเสียที

ทั้งล้างหน้า ทั้งทาครีม ช็อกโกแลตก็อุตส่าห์งด หน้าสกปรกหรือก็ไม่ใช่ แล้วทำไมสิวไม่หายเสียที?
ก่อนอื่น ต้องมาดูกันว่า สิวเกิดขึ้นเพราะอะไร สิวก็คือ การอักเสบเรื้อรังของรูขุมขนเนื่องจากต่อม ไขมันอุดตัน ปัจจัยที่ทำให้เกิดการอุดตันของต่อมไขมันนั้น เกิดขึ้นได้จากทั้งภายนอกและภายใน ถ้าปัญหาสิวของคุณเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น การใช้เครื่องสำอางบางชนิด สภาพแวดล้อม ความสะอาดของใบหน้า หรืออาหารบางประเภท ก็ยังสามารถหลีกเลี่ยงได้ไม่ยาก แต่ถ้าปัญหาสิวของคุณเกิดจากปัจจัยภายใน คือ ความไม่สมดุลของฮอร์โมนล่ะก็ ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมป้องกันสารพัดวิธีแล้วยังมีปัญหาสิวอยู่อีกถ้าร่างกายของคุณผลิตฮอร์โมนเพศชายที่เรียกว่า แอนโดรเจน มากเกินไป เจ้าแอนโดรเจนนี้ก็จะไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาหน้ามันจนต่อมไขมันอุดตัน เกิดเป็นสิว อุดตันและสิวอักเสบตามมา ถ้าคุณมีปัญหาหน้ามัน สิวเขรอะเพราะสาเหตุนี้ล่ะก็ ถึงคุณจะล้างหน้าสักพันครั้ง ก็ไม่ช่วยแก้ปัญหาให้คุณได้ ทางที่ดี คุณควรจะลองเปลี่ยนวิธีมาแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการปรับระดับฮอร์โมนในร่างกายให้สมดุลดูจะดีกว่า
สมัยนี้มียาคุมกำเนิดบางชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตรเจนที่สามารถต้านฮอร์โมนเพศชาย ยาพวกนี้ นอกจากจะช่วยคุมกำเนิดแล้ว ยังช่วยปรับระดับฮอร์โมนในร่างกายสมดุล ทำให้ต่อมผลิตฮอร์โมนและต่อมไขมันอยู่ในภาวะปกติ จึงช่วยลดปัญหาสิวเขรอะ หน้ามันอย่างได้ผล ปกติแล้ว ถ้าใช้อย่างถูกวิธี ก็จะเห็นผลได้ภายใน 2-3 เดือน และถ้าจะให้ดี ควรจะปรึกษากับเภสัชกร เพื่อขอคำแนะนำในการใช้ยาอย่างถูกวิธีและเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงมานาน ก็จะมั่นใจได้มากกว่าว่าหน้าสวยสะอาดใส ไร้สิวฝ้านั้นไม่ไกลเกินเอื้อมค่ะ

ผิวงานขำ

ความงามของผิวพรรณเปลี่ยนไปตามกระแสนิยม? ในปัจจุบันสาวไทยชอบผิวขาวใส? จึงมีผลิตภัณฑ์มากมายให้ผู้บริโภคได้ใช้? เช่น? ครีมช่วยผิวขาวซึ่งส่วนใหญ่ผสมสารป้องกันแสงแดด? เพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ?(ยูวี-บี และ ยูวี-เอ)? ซึ่งกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสี? ส่วนสารผสมอื่น เช่นวิตามินซี? วิตามิน อี?? สารสกัดจากพืชหรือสมุนไพร? จะไม่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีเท่าใดผสมเพียงเพื่อเป็นจุดขายให้ดูแตกต่างเท่านั้น? โดยธรรมชาติของสีผิว? สีผม และสีม่านตา? ในแต่ละเชื้อชาติจะแตกต่างกัน ?โดยมีพันธุกรรมเกือบร้อยหน่วยพันธุกรรมเป็นตัวควบคุม? ขนาดและจำนวนการกระจายของเซลล์สร้างเม็ดสีในทุกเชื้อชาติจะเท่ากันแต่ความสามารถของเซลล์ในการสร้างจำนวนเม็ดสี ?ขนาดของเม็ดสีและการกระจายของเม็ดสีในเซลล์ผิวหนัง? หรือการตอบสนองของเซลล์สร้างเม็ดสี? ต่อสิ่งกระตุ้น? เช่น รังสียูวี? ฮอร์โมน? โมเลกุลของสารอักเสบ (cytokine)? หรือสารเคมีซึ่งได้รับจากภายนอกจะแตกต่างกัน? ถ้ากล่าวโดยรวมก็คือ? ธรรมชาติของสีผิวแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันตามเหตุ(พันธุกรรม) และปัจจัย(สิ่งแวดล้อมซึ่งเปลี่ยนแปลง)? มีการแบ่งลักษณะสีผิวเป็น? 6? ชนิด? (6 skin phototypes; SPT ) โดยใช้ลักษณะสีผิวโดยชาติพันธ์??? การเปลี่ยนแปลงของผิวเมื่อผิวไหม้แดด(sunburn) ??และการคล้ำของสีผิวเมื่อได้รับแสงแดด? (suntan)
? ผิวหนังชนิดที่ 1 (SPT I) ผิวขาวมาก? ไหม้แดดง่าย? และไม่มีสีผิวแทน เช่น ?คนไอริสหรือสก๊อต? จะมีม่านตาสีฟ้า? ผมแดง? หน้าตกกระ
? ผิวหนังชนิดที่ 2 (SPT II)? ผิวขาว? ไหม้แดดง่าย? เกิดสีผิวแทนบ้าง เช่น ชาวสแกนดิเนเวีย? ?จะมีผมสีแดงหรือทอง? ม่านตาสีฟ้า? ตกกระจำนวนมาก
? ผิวหนังชนิดที่ 3 (SPT III) ผิวขาว ไหม้แดดบ้าง? ผิวแทนได้? เป็นผิวของชาวตะวันตก? ซึ่งมีผมสีทอง? หรือสีน้ำตาลอ่อน? ม่านตาสีน้ำตาล
? ผิวหนังชนิดที่ 4 (SPT IV) ผิวสีน้ำตาลอ่อน? ไหม้แดดเล็กน้อย? สีผิวแทนง่าย? ?เป็นผิวชาวจีน? ญี่ปุ่น? อินเดีย? และชาวตะวันออกกลาง? มีผมสีดำ? ม่านตาสีดำ?
? ผิวหนังชนิดที่ 5 (SPT V) ผิวสีน้ำตาล? ผิวไม่ไหม้แดด? และผิวสีแทนเข้ม เป็นผิวชาวเม็กซิกัน? อิยิปต์? มาเลย์? และสเปน? ?มีสีผมและม่านตาสีดำ
? วหนังชนิดที่ 6 (SPT VI) ผิวดำเข้ม? ไม่ไหม้แดด ไม่มีผิวแทน? เป็นผิวชาติอัฟริกัน ??สีผมสีดำ? ม่านตาสีดำ
ผิวคนไทยมี 2 ลักษณะคือ? เป็นผิวชนิดที่ 4?? คือ ผิวขาวแบบชาวจีน? และผิวชนิดที่ 5 คือผิวสีน้ำตาลซึ่งมีสีผิวแทนเข้ม?? ในวรรณคดีไทยจึงมีคำบรรยายความงามแบบของผิว 2 แบบคือ? ผิวขาวนวลใยเหมือนแตงร่มใบ ซึ่งเป็นลักษณะผิว ชนิดที่ 4?? และผิวงามขำคือ ผิวชนิดที่ 5 ?แต่กระแสปัจจุบันจะกล่าวเฉพาะความงามขาวใสจึงทำให้คนงามคมขำเกิดปัญหา? พยายามหาผลิตภัณฑ์เพื่อเปลี่ยนสีผิวให้ขาว? เมื่อเปลี่ยนไม่ได้ก็เลยกลายเป็นปมด้อยไปว่าโชคร้ายเกิดมาตัวดำ? แต่ถ้าพิจารณาแบบมีปัญญาก็จะภูมิใจในสีผิวคล้ำของตัวเอง ?สองประการ
1. สีผิวคล้ำเป็นสีผิวที่คนผิวขาวในประเทศที่พัฒนาแล้วอยากได้? จึงเห็นฝรั่งเข้ามาเมืองไทยเพื่ออาบแดดให้ผิวคล้ำลง ?ฝรั่งชาติตะวันตกที่มีรายได้สูงเท่านั้นที่จะมีโอกาสมาท่องเที่ยวให้สีผิวแทนได้? ดังนั้นจงภูมิใจกับสีผิวคล้ำเพราะเป็นความทันสมัยของชาติพัฒนา
2. สีผิวคล้ำเป็นวิวัฒนาการเพื่อการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์? ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อน? มีแสงแดดตลอดปี? ดังนั้นสีผิวคล้ำจะป้องกันอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลตได้อย่างดี? คนไทยจึงไม่เป็นมะเร็งผิวหนังเหมือนฝรั่งซึ่งชอบอาบแดด? และสีผิวคล้ำยังช่วยป้องกันรอยเหี่ยวย่นจากความเสื่อมของผิวหนังจากรังสีอัลตราไวโอเลตได้? ผิวคนไทย ชนิดที่ 5 จึงเป็นผิวเนียนอ่อนกว่าวัย? ดังนั้นจงภูมิใจกับผิวงามขำกันเถิด
แต่ยังมีหลายท่านยังทำใจไม่ได้ที่เกิดมางามขำ? อยากจะผิวขาวผ่องนวลใย? ก็มักจะซื้อผลิตภัณฑ์ที่กล่าวอ้างว่าช่วยเปลี่ยนสีผิวได้มาใช้อย่างฟุ่มเฟือย? ส่วนประกอบสำคัญ คือ สารปกป้องแสงแดด? ยากันแดดก็มีขายกันหลายประเภทอาจป้องกันได้ทั้งยูวี-เอ? และ/หรือยูวี-บี? ?โดยประสิทธิภาพของสารป้องกันแสงแดดมักจะอ้างถึง SPF? (Sun? protective factor) คือความสามารถในการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต บี (ยูวี-บี) จากเดิมเคยใช้ แค่ SPF20 ก็เพียงพอ? แต่ปัจจุบันมักใช้สูงเป็น SPF60? SPF100 ?บางชนิดสูงถึง SPF130? หลายท่านไม่เข้าใจอาจคิดว่าใช้ SPF สูงๆ จึงจะได้ผล? โดยหลักการที่ถูกต้องคนไทยไม่จำเป็นต้องใช้ยากันแดด SPF เกิน20? เพราะนิสัยคนไทยไม่ชอบแดด? ขี้ร้อน? ?ชอบหลบอยู่แต่ในร่ม ผิดกับฝรั่งถ้าเห็นแสงแดดจะวิ่งเข้าหา? และด้วยผิวคนไทยคล้ำแดดง่ายจึงปลอดภัยจากรังสียูวี? และสารป้องกันแสงแดด SPF100 ?จะป้องกันได้เฉพาะรังสี ยูวี-บี? แต่ยังไม่สามารถป้องกันรังสี ยูวี-เอ ???ซึ่งมีปริมาณสูงมากในแสงแดดได้? รังสียูวี-เอ จะกระตุ้นการสร้างสีผิวได้? ผิวจึงคล้ำแดดได้เหมือนเดิม? การหลบแดดจะช่วยให้ผิวขาวมากกว่าการใช้ยากันแดด? เพราะคนใช้ยากันแดดมักประมาท? โดยเข้าใจว่า SPF สูงแสดงว่ากันแดดได้หมด? การใช้ยากันแดดซึ่งมี SPF สูง? จะมีข้อเสีย คือ ราคาผลิตภัณฑ์จะแพง? และครีมมีสารป้องกันแสงแดดหลายชนิดโอกาสแพ้และการะคายเคืองจึงสูงกว่า? และชนิดซึ่งกันน้ำได้ยังก่อให้เกิดการอุดตัน? ดังนั้นหลายท่านเป็นสิวเพิ่มขึ้นหลังใช้ยากันแดด? สำหรับครีมหน้าขาวซึ่งมีจำหน่ายแบบขายตรงโดยไม่มีใบรับรองจาก อ.ย. ก็มักผสมสารอันตรายต้องห้าม เช่น? สารไฮโดรควิโนน? สารปรอท? ซึ่งจะก่อให้ผิวเสียการในระยะยาว ?ถ้ามีปัญหาควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะปลอดภัยกว่า
ดังนั้นก็อยากให้ผู้ซึ่งผิวคล้ำแดดง่ายเข้าใจธรรมชาติของผิวหนังว่าสีผิวได้ถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิด? โดยพันธุกรรมของบิดามารดา? จึงยากที่จะเปลี่ยนได้? ก็คงต้องรอชาติหน้า? และถ้าต้องการผิวขาวผ่องก็ต้องเลือกผู้ให้กำเนิดใหม่? แต่ในชาตินี้จะทำอย่างไรจึงจะหมดทุกข์? ก็คงต้องทำใจและการรำพึงรำพันกับนิยาม ?คนผิวงามขำผิวเนียนอ่อนกว่าวัยและปราศจากภัยจากโรคมะเร็งผิวหนัง ?

ยาจากทะเล

ยาจากทะเล
โดย. ดร.อนุชิต พลับรู้การภาควิชาเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
เมื่อเราพูดถึงสมุนไพรและยาที่ได้จากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ เรามักจะนึกผลิตภัณฑ์ที่ได้จากพืชสมุนไพร ซึ่งเป็นพืชที่ขึ้นบนบก หรือถ้าเป็นพืชน้ำ ก็มักเป็นพืชที่สามารถเก็บได้โดยง่ายจากแหล่งน้ำจืด แต่น้อยคนที่จะคิดเลยไปถึงว่า อันที่จริงแล้วนั้น สมุนไพร มีความหมายครอบคลุมรวมไปถึงสิ่งที่นำมาใช้เป็นยาที่ได้จากทั้งพืช สัตว์ และแร่ธาตุ และได้มาจากทุกแหล่งที่สามารถหาได้ ซึ่งรวมไปถึงท้องทะเลด้วยเช่นกัน
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกในเลยที่เราจะสามารถนำสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในท้องทะเลมาพัฒนาเพื่อค้นหายาใหม่ได้ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะเป็นพืชหรือสัตว์ทะเล เพราะท้องทะเลจัดเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก คาดกันว่าไม่น้อยกว่า 95% ของสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ อาศัยอยู่ในทะเล และเนื่องจากระบบนิเวศน์ของท้องทะเลมีความหลากหลายสูงอย่างยิ่ง ดังนั้น สิ่งมีชีวิตที่เป็นสมาชิกของระบบนิเวศน์นี้ จึงต้องมีวิวัฒนาการเพื่อปรับปรุงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้สามารถอยู่รอดในระบบนิเวศน์นั้นๆ ได้ ซึ่งนำไปสู่การสร้างสารเคมีใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนกับที่เราเคยพบมาก่อนในพืชและสัตว์ที่เราพบบนบก
ปัจจุบันนี้ มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่หันมาให้ความสนใจกับสิ่งมีชีวิตในทะเล โดยเฉพาะกลุ่มของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง และพบว่าสัตว์ทะเลเหล่านี้ มีศักยภาพในการเป็นแหล่งยาใหม่ที่น่าสนใจ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในทะเล โดยเฉพาะสัตว์ในกลุ่มฟองน้ำ เพรียงหัวหอม และมอสทะเล (สัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง อาศัยรวมเป็นกลุ่มเคลือบพื้นผิวเช่นก้อนหิน ลักษณะคล้ายตะไคร่น้ำ) เข้ามามีบทบาทในฐานะของแหล่งที่มาของยาใหม่ ในลักษณะเดียวกับพืชสมุนไพรนั้น อาจมีปัจจัยที่เกิดจากสภาพการดำรงชีวิตของสัตว์เหล่านี้ ซึ่งมีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนกับสัตว์ส่วนใหญ่
ฟองน้ำ เพรียงหัวหอม และมอสทะเล เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในทะเลที่ดำรงชีพแบบเกาะติดอยู่กับที่ กินอาหารโดยอาศัยการกรองน้ำทะเลผ่านช่องว่างในตัว แล้วดักจับแพลงตอนเล็กๆ ที่ติดมากับน้ำทะเลนั้นเป็นอาหาร การที่สัตว์เหล่านี้ใช้ชีวิตแบบเกาะติดกับที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ กลายเป็นจุดอ่อน เนื่องจากสัตว์เหล่านี้ ไม่สามารถเคลื่อนที่หลบหนีสัตว์อื่นที่เป็นผู้ล่าและเคลื่อนไหวได้ เช่นปลาและสัตว์พวกหอยหลายชนิด นอกจากนี้ ทั้งฟองน้ำ เพรียงหัวหอม และมอสทะเลยังมีร่างกายที่อ่อนนุ่ม ไม่มีโครงแข็งป้องกันตัวจากภายนอก วิธีการหนึ่งที่สัตว์เหล่านี้สร้างขึ้นระหว่างขั้นตอนวัฒนาการ คือ การสร้างสารเคมีเพื่อใช้ป้องกันตัว สารเคมีที่สร้างขึ้น อาจมีผลต่อรสชาติ หรืออาจมีผลขับไล่สัตว์อื่น และที่สำคัญ คืออาจมีผลต่อกระบวนการทางสรีรวิทยาของสัตว์อื่น ทำให้ชา บาดเจ็บ หรือตายได้
สารเคมีที่สัตว์เหล่านี้สร้างขึ้นนี่เอง ที่กลายมาเป็นจุดสนใจของนักวิทยาศาสตร์ในสาขาที่เกี่ยวกับการค้นหายาใหม่ ทั้งนี้ โดยอาศัยสมมติฐานว่า ในขณะที่ยาทุกชนิดย่อมทำให้เกิดอาการพิษ ถ้าเราใช้ในขนาดที่มากเกินกว่าที่ใช้เป็นยาได้ หรือถ้าเราดัดแปลงสูตรโครงสร้างทางเคมีในบางตำแหน่งไปแม้แต่เพียงเล็กน้อย ดังนั้น ในทางกลับกัน สารที่มีฤทธิ์ต่อระบบทางสรีรวิทยาและมีคุณสมบัติเป็นสารพิษในขนาดหนึ่งก็อาจนำมาใช้เป็นยาได้ ถ้าเราสามารถปรับขนาดการใช้ยา หรือปรับปรุงสูตรโครงสร้างทางเคมีให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการใช้ยานั้นๆ
มีสารเคมีและยาหลายชนิดที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ ที่เราอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากท้องทะเล เช่น
- ambergris หรืออำพันขี้ปลา ซึ่งได้จากสำรอกของปลาวาฬ และใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตน้ำหอมและในเครื่องสำอางหลายชนิด
- spermaceti หรือไขปลาวาฬ เป็นไขที่พบในส่วนหัวของปลาวาฬสเปิร์ม ใช้เป็นส่วนประกอบในการเตรียมตำหรับยาครีม โลชั่น และยาขี้ผึ้ง
- วุ้นและกรดอัลจินิก ได้จากสาหร่ายทะเล ใช้เป็นสารเพิ่มความหนืดในตำรับยาแขวนตะกอนและยาอิมัลชั่น
- กรดไคนิก ได้จากสาหร่ายสีแดง มีฤทธิ์เป็นยาถ่ายพยาธิ
นอกเหนือจากนี้ ในปัจจุบัน ยังมีการพัฒนายาใหม่หลายชนิด ที่ได้มาจากท้องทะเลเช่นกัน ยาเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีฤทธิ์เป็นยาต้านมะเร็ง ยาที่มีใช้ในโรงพยาบาลโดยทั่วไปแล้ว ได้แก่ยาที่มีชื่อว่า cytarabine ซึ่งเป็นยาสำหรับรักษามะเร็งในเม็ดเลือดขาว (Leukemia) และเป็นยาที่พัฒนาและปรับปรุงสูตรโครงสร้างมาจากสารที่ได้จากฟองน้ำชนิดหนึ่ง นอกเหนือจากนี้ ยังมีสารเคมีที่สกัดได้จากสัตว์และพืชทะเลอีกหลายชนิดที่มีฤทธิ์คล้ายๆ กัน คือมีแนวโน้มที่จะใช้เป็นยาต้านมะเร็งได้ เช่น ecteinascidin 743 ซึ่งได้จากเพรียงหัวหอมชนิดหนึ่ง aplidine ซึ่งได้จากเพรียงหัวหอมเช่นกัน และ dolastatin 10 ซึ่งได้จากทากทะเล ขณะนี้ สารเหล่านี้กำลังอยู่ในขั้นการทดลองในทางคลินิก

อาบน้ำบ่อยใครว่าดี

การอาบน้ำล้างหน้าบ่อย ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังบอกว่ากลับทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังง่ายขึ้น
เนื่องจากผิวหนังคนเราก็มีภูมิต้านทานตามธรรมชาติเป็นเสมือนยาฆ่าเชื้ออยู่แล้วเพื่อช่วยป้องกันการอักเสบหรืออาการพุพองต่าง ๆ หรือเกิดอาการแสบคัน จะเห็นได้จากเมื่อเกิดแผลขึ้นและแผลเป็นหนอง แสดงว่าเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่กำลังต่อสู้กับเชื้อโรคอยู่

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทูบิงเคมในเยอรมัน พบว่า เหงื่อของเรามีสาร "เดอร์ เมดิซีน" มีสรรพคุณช่วยปกป้องผิวหนังจากการอักเสบ ที่ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นคัน สารตัวนี้ผลิตได้จากต่อมเหงื่อทั่วร่างกาย มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อนที่แบคทีเรียจะทำอันตรายกับผิว

สิ่งที่จะทำให้ยาฆ่าเชื้อบนผิวหนังเราถูกกำจัดไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ สารระคายเคืองต่อผิวหนังจากผงซักฟอก สบู่ น้ำยาล้างจาน ฯลฯ การเลือกซื้อน้ำยาต่าง ๆ นี้ก็ควรเลือกชนิดที่ไม่ทำความระคายเคืองให้กับผิวหนัง สังเกตได้หลังจากการใช้จะทำให้ผิวแห้งผาก เกิดอาการคัน

บ้านเมืองของชาวตะวันตกมีอากาศหนาวเย็นจึงไม่อาจอาบน้ำได้บ่อยเท่าเมืองเราที่เป็นเมืองร้อน เพราะผิวจะแห้งจากการถูกทำลายน้ำมันธรรมชาติ สำหรับบ้านเราแถบทางเหนือคงจะคล้ายกัน แต่ในภาคอื่นหรือในกรุงเทพฯที่ผู้คนต้องเบียดเสียดขึ้นรถเมล์ หากไม่อาบน้ำบ่อยคงส่งกลิ่นให้เพื่อนร่วมทางต้องสลบกันไปบ้างแหละ

5 วิธีหยุดผมแตกปลาย

มั้ยว่ายิ่งไปทำอะไรกับเส้นผมบ่อย ๆ ก็จะยิ่งทำให้เส้นผมของเราแห้งแตกปลายอยู่เรื่อย บางทีแค่โดนแดดบ่อย ๆ อยู่ในห้องแอร์ประจำ หรือไดร์ผมทุกวัน ก็ทำให้ผมเสียได้เหมือนกันนะ ถ้างั้นเรามาหาวิธีหยุดผมแตกปลายกันดีกว่า
1. อย่าหวีผมมากเกินไป : โดยเฉพาะใครที่ชอบหวีผมเวลาเปียกๆ จะทำให้เส้นผมขาดง่ายมากขึ้น ทางที่ดีควรปล่อยให้ผมแห้งแล้วค่อยหวีผมดีกว่า

2. อย่ารวบผมให้ตึงเกินไป : สำหรับสาวที่ชอบผูกผมสูงเป็นหางม้าประจำล่ะก็ ลองเปลี่ยนมาปล่อยผมดูบ้างจะทำให้ผมไม่ถูกทำลายมากไป
3. อย่าใช้ไดร์เป่าผม : หรือที่หนีบผมตรงบ่อยเกินไป เพราะความร้อนจะเข้าไปทำลายความชุ่มชื้นของเส้นผมและทำให้ผมแตกปลายได้
4. ถ้าผมยาวเกินไปแล้ว : ให้เล็มเส้นผมที่แตกปลายออกบ้าง วิธีนี้จะช่วยให้เส้นผมที่ขึ้นใหม่แตกปลายน้อยลง5. หาอาหารบำรุงให้เส้นผมบ้าง : อย่างอบไอน้ำหรือมักผมสักอาทิตย์ละ 1 ครั้ง จะช่วยให้ผมชุมชื้นขึ้น

9 วิธีเตรียมสวยฉบับเร่งด่วน

เทศกาลรื่นเริงเฉลิมฉลองมาถึงอีกแล้วค่ะ แต่ที่ผ่านมาสาวๆหลายคนคงง่วนแต่กับการทำงานจนละเลยการดูแลตัวเองใช่ไหมล่ะ เอาเถอะค่ะ ถึงไม่ค่อยมีเวลา เราก็ยังสวยได้ เพราะH&C มีคำแนะนำจากคุณฟูก-ธำรงรักษ์ วราลักษณ์ และคุณเป็ด-อภิชาต นรเศรษฐาภรณ์ เมคอัฟอาร์ทิสชื่อดังของเมืองไทย รวมทั้งคุณไก่-สมพร ธิรินทร์มาฝากค่ะ1. ถ้ารูขุมขนกว้าง การมีรูขุมขนกว้างเกิดได้หลายสาเหตุ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผิวขาดอากาศหายใจจากการทารองพื้นหนาเกินไป คุณจึงควรใช้น้ำเย็นจากฝักบัวเพิ่มความชุ่มชื้นให้ใบหน้าบ่อยๆเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้กับรูขุมขน ยิ่งถ้ามีปัญหาร่วมกับผิวมัน ยิ่งจำเป็นต้องขยันมาส์คหน้าบ่อยๆประมาณ 3 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อดึงน้ำมันและสิ่งสกปรกในรูขุมขน กำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ลดความมันและการอักเสบ ทำให้ผิวกระชับขึ้น วิธีแก้ไขแบบเร่งด่วน คุณต้องเริ่มต้นจากการทำความสะอาดอย่างล้ำลึกด้วยการมาส์คหน้าเสียก่อน อาจเลือกใช้มาส์คที่มีส่วนผสมของแป้งหรือโคลน ประเภทดีพคลีนซิ่งมาส์ค จะช่วยลดความมันส่วนเกินได้ดี หรือจะใช้มาส์คชนิดแผ่นกระดาษก็ได้ ก่อนแต่งหน้าตามปกติ โดยอย่าลืมว่าอย่าลงรองพื้นหนาเกินไป และพกกระดาษซับมันติดตัวด้วยค่ะ
2. ปากแห้ง แตกเป็นขุย ถ้ารู้ตัวล่วงหน้าว่าจะมีปาร์ตี้ คุณก็ควรเตรียมสวยให้ริมฝีปากด้วยการดื่มน้ำให้มากอีกหน่อยนะคะ (ถ้าทำงานและนอนในห้องแอร์ยิ่งต้องเพิ่มปริมาณมากกว่าเดิม) เพราะถ้าร่างกายมีน้ำหล่อเลี้ยงเพียงพอ ริมฝีปากจะสวยอวบอิ่มตามธรรมชาติ นอกจากนี้ห้ามเลียริมฝีปากเมื่อรู้สึกว่าปากแห้ง เพราะในน้ำลายมีเอนไซม์ช่วยย่อย ที่จะทำให้ปากแห้งเป็นขุยได้ แต่ควรพกลิปกลอสติดตัวเพื่อทาริมฝีปากอย่างสม่ำเสมอ แต่ในกรณีเร่งด่วนอย่างนี้ ให้กำจัดเซลล์ที่ตายแล้วด้วยวิธีดังนี้ค่ะ
ใช้สครับขัดหน้า ขัดที่ริมฝีปากเบาๆ แล้วลงลิปกลอสก่อนตามด้วยลิปสติคสี หรือจะเลือกชนิดที่เป็นประกายก็ดีค่ะ
ใช้น้ำอุ่นจากฝักบัวล้างหน้า ทาลิปบาล์มหรือวาสลีนที่ริมฝีปาก ใช้แปรงสีฟันอันเล็กถูเบาๆ จะช่วยกระตุ้นเซลล์ใหม่ได้ด้วย แล้วค่อยทาลิปสติคตามปกติ
3. ตาคล้ำเป็นหมีแพนด้า อาการตาคล้ำอาจเกิดจากการพักผ่อนน้อยและระบบไหลเวียนเลือดบริเวณใต้ตาไม่ดี ถ้าเราสร้างนิสัยการเข้านอนเร็วตื่นเช้าให้ได้ ปัญหานี้จะหมดไปค่ะ ส่วนวิธีแก้ปัญหาเร่งด่วนคราวนี้คือ
หั่นแตงกวาเป็นแว่น วางบนเปลือกตา จะช่วยลดอาการบวมช้ำได้
ใช้คอนซีลเลอร์สีอ่อนกว่ารองพื้น ทาบริเวณใต้ตาเพื่อช่วยอำพรางอาการตาคล้ำ ก่อนแต่งหน้าตามปกติ
** Expert tips การนอนดึกทำให้ผิวหน้ารับออกซิเจนได้น้อยลง ทำให้เลือดหมุนเวียนไม่ดี ซึ่งนอกจากจะเห็นชัดจากอาการตาคล้ำแล้ว ยังทำให้ผิวแห้งกร้าน หน้ามันได้ด้วย คุณอาจเพิ่มการไหลเวียนบริเวณนี้โดยการนวดเมื่อตื่นนอน วิธีการคือ ใช้นิ้วนางกดบริเวณใต้ตาเริ่มตั้งแต่หัวตาเรื่อยไปถึงหางตา จุดละ 2 วินาที เพื่อให้ต่อมน้ำเหลืองและการไหลเวียนเลือดหมุนเวียนดีขึ้น รวมทั้งบำรุงสม่ำเสมอด้วยอายครีมโดยทาและนวดเบาๆจากหางตาไปยังหัวตาแล้ววนรอบดวงตาในทิศทางเดียว
4. ตาบวมเป่ง ใช้น้ำแข็งห่อผ้าบางๆ กดทิ้งไว้รอบๆดวงตา พักสักครู่แล้วทำซ้ำอีก แล้วเน้นการบำรุงระยะยาวแบบเดียวกับข้อ3

5. สิวเจ้ากรรม วันไหนที่คุณคิดอยากจะเตรียมตัวให้เป็นพิเศษ วันนั้นสิวหัวช้างเม็ดเป้งมักโผล่ขึ้นมาทุกทีสิน่า ไม่เป็นไรค่ะ ผู้เชี่ยวชาญแนะว่าให้คุณใช้วิธีปกปิดโดยใช้คอนซีลเลอร์ทาบริเวณหัวสิวแล้วใช้แป้งฝุ่นทาทับ
เลือกคอนซีลเลอร์ชนิดครีมจะช่วยปกปิดและติดทนได้นานกว่า
บีบคอนซีลเลอร์ลงบนฝ่ามือ บี้ให้เนื้อเนียนเกิดความร้อนเสียก่อนแล้วใช้พู่กันแต้มลงไปที่หัวสิว วิธีนี้จะช่วยปกปิดให้คุณสวยเช้งอย่างมั่นใจค่ะ
6. หน้าลอกเป็นขุย สำหรับคนที่มีปัญหาผิวแห้งหรือเพิ่งไปเที่ยวทะเลอาบแดดมาหมาดๆอาจมีปัญหาเรื่องหน้าลอกเป็นขุย สิ่งที่คุณควรทำขั้นแรกคือ
ใช้สครับขัดหน้าเบาๆบริเวณที่ผิวลอกอย่างเบามือ เลือกชนิดที่มีเม็ดบีดส์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพดีกว่า ในกรณีที่เพิ่งอาบแดดมา ให้เลี่ยงบริเวณที่ผิวไหม้หรืออักเสบค่ะ
ใช้ครีมบำรุงที่เนื้อเหนียว และเข้มข้นกว่าปกติ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นอย่างเร่งด่วนให้กับผิว คุณเป็ดแนะนำ 8 hours cream ของ Alizabeth Arden ที่มีกลิ่นหอมแบบอมาเทอราพี ซึ่งช่วยเพิ่มความผ่อนคลายได้ด้วย
ส่วนคุณฟูกแนะนำให้ใช้รองพื้นชนิดน้ำ ของArtistry จะช่วยให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน โดยเลือกสีที่เข้มกว่าสีผิว 1 เบอร์ แล้วแต่งหน้าตามปกติ
**Expert tips ในช่วงที่ผิวหน้ายังลอกอยู่ ควรเลี่ยงการใช้มาส์คที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ และวิตามิซี เอเอชเอ และเรตินอลในช่วงนี้ เพราะจะทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น
7. สีผิวกระดำกระด่าง ไม่เสมอกัน สำหรับงานกลางคืนที่อาจเผยผิวมากกว่าเดิม ปัญหากวนใจก็คือการมีสีผิวไม่เรียบเนียนเสมอกัน ปัญหานี้แก้ง่ายๆดังนี้ค่ะ
คุณเป็ดแนะนำ ให้สครับผิวกาย โดยเลือกชนิดที่มีส่วนผสมของวิตามินอีจากธรรมชาติ เช่น อโลเวราเอ็กซ์แทรค อาทิ body shop origin แล้วตามด้วยโลชั่นที่มีกลิ่มหอมสดชื่น อาทิ Emporio Armani body lotion
ใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มสีผิวโดยเลือกให้เข้มกว่าสีผิวจริงเล็กน้อย แล้วใช้ shimmer ปัดให้ทั่ว โดยเลือกชนิดที่มีโทนสีบรอนซ์และมีประกายวิบวับ เพื่อช่วยลวงตา
คุณฟูกแนะนำ Light Reflective Lotion จาก Artistry ช่วยปรับสีผิวและมีสารกระจายแสง ช่วยลวงตาให้ผิวดูสม่ำเสมอ โดยเลือกตามความเข้มอ่อนของผิว แล้วใช้shimmer ที่มีประกายปัดเบาๆ
8. ผิวแห้งกร้านไม่มีชีวิตชีวา สำหรับใบหน้าให้ใช้มาส์คพอกหน้าสำหรับผิวหน้า และบำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์สูตรเข้มข้นสำหรับผิวแห้งเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นทันที ส่วนผิวกายให้เลือกใช้ครีมทาตัว นวดเบาๆทั่วร่างกาย เพราะถ้าคุณผิวแห้งเนื้อของโลชั่นอาจบางเบาเกินไป และใช้น้ำมันหอมระเหยสำนวดตัว นวดสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และสำหรับคนที่มีผิวแห้งอยู่แล้วควรอาบน้ำเย็น (เลี่ยงน้ำอุ่นในทุกกรณี)
9. หัวกระเซิง ไม่เป็นทรง ถ้าคุณผมยาว ทั้งยาวตรงและหยิกหยักศก ถ้าคุณชอบเกล้าผม อาจเลือกเครื่องประดับเก๋ๆ เช่น กิ๊บติดผม หากเป็นงานปาร์ตี้กลางคืน ควรเลือกกิ๊บที่มีเพชร เพื่อเน้นความแวววาว เพิ่มจุดสนใจให้กับทรงผมของคุณด้วย ส่วนงานปาร์ตี้กลางวัน ให้เลือกกิ๊บที่มีสีสันสดใส เช่น สีส้ม เขียว แดง ถ้าชอบแบบเรียบง่ายแต่ดูดี ให้เน้นสีโทนขาวหรือดำ แต่ถ้าชอบปล่อยยาวอาจให้โรลใหญ่ๆ ม้วนผมไว้ในขณะที่คุณแต่งหน้า เมื่อเสร็จแล้ว แต่งด้วยมูสหรือเจลให้เป็นธรรมชาติ จะติดกิ๊บเก๋ๆด้วยก็ยังได้ เครื่องประดับผม ไม่จำเป็นซื้อของแพงเพราะเทรนด์เปลี่ยนแปลงเร็วและมีให้เลือกมาก คุณควรเลือกที่เหมาะกับตัวเองและใส่แล้วมั่นใจดีกว่า ถ้าคุณผมสั้น ใช้ที่รัดผมหรือที่คาดศีรษะ เน้นแนวสดใส เช่น การ์ตูน ลายผลไม้ ตุ๊กตา ถ้าจะให้ง่ายและเร็วกว่านั้น เลือกวิธีใส่เจลหรือมูส ขยำๆพอให้เป็นทรงตามต้องการ แต่ถ้าพอจะมีเวลาสักหน่อย ลองแวะร้านทำผมแบบ Quick Cut ก็อาจช่วยให้คุณสวยได้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าได้ในเวลาสั้นๆ ค่ะ

เรื่องของ...มะเขือเทศ

มะเขือเทศสีสดใสสะดุดตา เห็นแล้วชวนรับประทานยิ่งนัก ทำเอาทั้งหลายท่านห้ามใจไม่อยู่ แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่เห็นเจ้ามะเขือเทศแล้วร้อง ?ยี้!!? ไม่ว่าจะมาในแบบสดๆ หรือผ่านการแปรรูปมาแล้วก็ตาม ดังนั้นมะเขือเทศจึงมักกลายเป็นแค่เครื่องประดับอาหารจานอร่อยไปโดยปริยาย
จะบอกให้นะคะว่า คุณกำลังบอกปัดสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพไปอย่างน่าเสียดายค่ะ เพราะมะเขือเทศนั้นไม่ใช่ว่าจะสวยแค่เปลือกนอกเท่านั้น แต่ภายในยังมีคุณค่ามากมาย ที่ทำให้มะเขือเทศเป็นราชินีแห่งผักและผลไม้ไม่แพ้กับผักชนิดอื่นเช่นกัน จะเรียกว่างามทั้งนอกและในก็คงไม่ผิด

การรับประทานมะเขือเทศเพียงวันละ 1-2 ลูกจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เป็นต้นว่า ช่วยต้านโรคความดันโลหิตสูง บำรุงดวงตา และสายตา บำบัดอาการปัสสาวะขัด บำรุงเหงือกและฟัน ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว เยียวยาโรคเลือดออกตามไรฟัน ต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ คุ้มกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย แก้ท้องผูก และบำรุงผิวพรรณ ของคุณด้วยค่ะ

ข้อดีประการสุดท้ายคงถูกใจสาวๆ ส่วนใหญ่ ฉะนั้น สาวใดที่อยากผิวสวยควรหันมารับประทานมะเขือเทศวันละ 1-2 ลูกเป็นประจำ เท่านี้ก็ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางราคาแพงให้เปลืองเงินเปลืองทองที่สำคัญมะเขือเทศนั้นราคาแสนถูก ถ้าจะต้องรับประทานเป็นประจำเพื่อผิวสวยและสุขภาพที่แข็งแรงก็ไม่น่าจะเดือดร้อนเงินในกระเป๋า จริงไหมคะ

ชูสมุนไพรลดคอเลสเตอรอล

จากสถิติขององค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่าประชากรทั่วโลกกว่า 7 ล้านคนต่อปี ต้องเสียชีวิตด้วย ?โรคหัวใจและหลอดเลือด? ในขณะเดียวกันประเทศไทยมีการค้นพบว่า มีประชากรเกินกว่าร้อยละ 50 ที่มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงเกินกว่าปกติ และเกินกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และพบว่ามีการเสียชีวิตจากโรคนี้ป?คอเลสเตอรอล (Cholesterol)? เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่อยู่ในร่างกาย และในอาหารที่บริโภค มีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย เช่น นำไปสร้างเป็นน้ำดีช่วยย่อยไขมันที่ได้รับจากอาหาร นำไปสร้างฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย และเป็นต้นกำเนิดของวิตามินดี

นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนประกอบ ของโครงสร้างผนังเซลล์ แต่ถ้าร่างกายมีคอเลสเตอรอลมากเกินไป ก็จะถูกนำไปเก็บไว้ที่ใต้ผนังหลอดเลือดอันเป็นสาเหตุที่จะทำให้หลอดเลือดแดงแข็งและหลอดเลือดแดงตีบและอุดตันได้

ขณะที่ถ้าเป็นหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ก็จะทำให้หัวใจล้มเหลวแบบเฉียบพลัน จนเสียชีวิตได้ ซึ่งอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงคือ อาหารที่มีส่วนประกอบของไข่แดง เครื่องในสัตว์ มันสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด เช่น กุ้ง ปลาหมึก ทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

รศ.ดร.ปรียา ลีฬหกุล จากสำนักงานวิจัยคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การรับประทานอาหารเจในบางเมนูที่มีไขมันหรือแป้ง เช่น แกงกะทิ หรือของทอดที่มีน้ำมัน อาหารประเภทที่มีแต่แป้งก็จะทำให้มีไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้นได้ หรือบางรายก็อาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นซึ่งสุดท้ายก็จะทำให้มีคอเลสเตอรอลสูงตามมา ดังนั้นผู้ที่กินเจจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารดังกล่าว

อาหารเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด โรค มีแนวทางในการเลือกอาหารที่มีปริมาณ คอเลสเตอรอลต่ำ และจากการประกวดเมนูลดคอเลสเตอรอล ในโครงการ ?เมนูอาหารใส่ใจคอเลสเตอรอล? ซึ่งจัดประกวดโดย บริษัท ไฟเซอร์ มีเมนูที่ชนะเลิศการประกวด มานำเสนอ ซึ่งเป็นอาหารไทยอุดมไปด้วยสมุนไพร

เมนูคอเลสเตอรอลไขมันต่ำ นั่นคือ ?ข้าวหมกไก่คั่วตะไคร้ กับแสร้งว่าปลาช่อน? ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศในรุ่น ?มืออาชีพ? โดยเคล็ดลับอยู่ตรงข้าวที่หุงจะใช้นมพร่องมันเนยแทนการหุงด้วยน้ำ ใส่กระเทียมลงไปผัดในน้ำมัน แล้วใส่ข้าวที่หุงเสร็จลงไปผัด ใส่เกลือและผงกะหรี่ลงไป สำหรับไก่คั่วตะไคร้ก็จะใช้ไก่ที่ไม่ติดมัน หั่นบาง ๆ ผัดกับตะไคร้ เติมเกลือและพริกไทยลงไป

ส่วน ?แสร้งว่าปลาช่อน? นั้นมีส่วนผสมของปลาช่อนสุก ขิงหั่นฝอย ตะไคร้ หอมแดง พริกขี้หนู ใบมะกรูด น้ำมะนาว น้ำมะขามเปียก และเครื่องปรุงรสต่าง ๆ ลงคลุกให้เข้ากัน ทั้งอร่อยและไขมันต่ำ คอเลสเตอรอลต่ำ

อีกหนึ่งเมนูที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในรุ่น ?บุคคลทั่วไป? คือ เมนู ?ซาบะกลางดง? ซึ่งมีจุดเด่นคือ ใช้ปลาซาบะย่างเอาหนัง ออกมีไขมันต่ำ มีไอโอดีน พร้อมสมุนไพรนานาชนิด ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งสมุนไพรเหล่านั้นก็มี ขิง ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกไทยสด มะนาว หอมแดง กระเทียม กะหล่ำปลีหั่นฝอย มะม่วงเปรี้ยว ซอสมะเขือเทศ วิธีทำ นำมะนาวมาบีบเอาน้ำผสม น้ำปลาน้ำตาลปี๊บ ซอสมะเขือเทศ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมด ยกเว้นปลาซาบะลงคลุก ให้เข้ากัน นำปลาซาบะจัดวางลงในจานพร้อม ข้าวสวย 1 ถ้วย เวลาทานนำเครื่องปรุงทั้งหมดราดลงบนตัวปลา นอกจากนี้ยังมีเมนูปราศจากคอเลสเตอรอลอีกมากมาย อาทิ เมนู ?วุ้นเส้นผัดขี้เมาปลากะพงสด?

?เมนูลดคอเลสเตอรอล? ยังมีให้เลือกอีกมากมาย พร้อมปรึกษาสุขภาพกับ ทีมแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด และสารพันโรคโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในงาน ?ไฟเซอร์ ฟิต ฟัน แฟร์ (Pfizer Fit Fun Fair)? วันเสาร์และอาทิตย์ที่ 16-17 กรกฎาคม ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว
ระมาณ 7 คนต่อชั่วโมง หรือคิดเป็น 61,320 คนต่อปี โดยโรคหัวใจและหลอดเลือดถือเป็นโรคอันดับสองที่คร่าชีวิตคนไทยรองจากโรคมะเร็ง

ยากับน้ำผลไม้อันตรายกว่าที่คิด

น้ำเปล่าดีที่สุดเมื่อต้องรับประทานยา เวลาที่ไม่สบาย เราก็ต้องกินยาเพื่อจะได้หายป่วยไว ๆ แต่บางทีถ้าหากว่าเป็นโรคบางโรคแล้วกินยา แล้วเผลอตามด้วยการดื่มน้ำผลไม้เข้าไป นั่นอาจจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตราย
คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ซานฟรานซิสโกได้เปิดเผยผลการวิจัยซึ่งบ่งว่า น้ำผลไม้ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของร่างกาย ที่จะทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาของยาหมดไป เพราะก่อนที่ยานั้นจะซึมเข้าสู่กระแสเลือด น้ำผลไม้จะต่อต้านการดูดซึมของยาที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว และโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ รวมไปถึงยาที่ใช้กับผู้ป่วยที่ทำการปลูกถ่ายอวัยวะใหม่
ผลการวิจัยที่ได้รับการเปิดเผย ก่อนหน้านี้ บ่งบอกถึงอันตรายของน้ำผลไม้ ในแง่ที่ส่งผลต่อการรับประทานยาเช่นกัน เพราะฤทธิ์ในการทำลายเอนไซม์ในร่างกายที่ทำหน้าที่สกัดกั้นไม่ให้ยาเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไป เมื่อเอนไซม์ชนิดนี้ลดลงทำให้ตัวยาบางชนิดรวมถึงยาที่ใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตและแอนติฮิสตามีน (Antihistamines) มีฤทธิ์ในการรักษารุนแรงขึ้น เพราะในบางกรณีที่ร่างกายได้รับตัวยามากเกินขนาด จะเป็นผลเสียต่อการรักษาและร่างกายผู้ป่วย

ลำไยผลไม้ที่ให้ทั้งคุณและโทษ

ในช่วงนี้ก็เป็นหน้าที่ลำไยกำลังให้ผลผลิต จะเห็นว่าตามตลาดนัดต่างๆ ห้างสรรพสินค้า หรือเป็นรถเร่ขายผลไม้ ก็เต็มไปด้วยลำไย ราคาก็ไม่แพงมากนัก และความดังของลำไยก็ยังเป็นข่าวให้ได้อ่านได้ฟังกันทุกวัน คือเรื่องของลำไยอบแห้งที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีแต่กล่องแต่ไม่มีลำไยในกล่อง หรือที่เรียกกันว่าสต็อกลม และยังมีการทำลายลำไยทิ้งเป็นจำนวนมากมายมหาศาล ทั้งๆ ที่ประชากรทั้งในและต่างประเทศก็มีความต้องการทานลำไยกัน ก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจทีเดียวว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับลำไยและเกษตรกรผู้ปลูก ทำไมลำไยจึงได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้ เป็นเพราะกระแสการปลูก หรือเกษตรกรไม่มีความรู้ด้านการตลาด หรือมีตลาดที่ไม่ตรงกับกลไกของความเป็นจริง
ลำไยจัดเป็นไม้ผลกึ่งเมืองร้อน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dimocarpus longan Lour. มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้และอินเดีย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 9-12 เมตร ในความเป็นจริงแล้วลำไยมีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน แต่ที่นิยมปลูกในบ้านเราก็แบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์ คือ

1.ลำไยต้น เป็นพันธุ์ที่ปลูกเพื่อนำผลมาใช้บริโภค และพันธุ์ที่นิยมปลูกกัน คือ พันธุ์อีดอ, เบี้ยวเขียว, สีชมพู, กะโหลกแห้ว, ใบดำ และพันธุ์พื้นเมือง

2.ลำไยเครือ เป็นพันธุ์ที่ปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับตามบ้านเรือนหรือตามสถานที่ต่างๆ

ลำไยเป็นไม้ที่ให้ผลเป็นช่อ อาจมีขนาดเล็กถึงใหญ่ ส่วนเนื้อในมีสีขาวใสหรือสีชมพูอ่อนๆ มีรสหวานจัด และให้ผลผลิตในเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนก็จะตรงกับหน้าฝน และมีการปลูกกันมากทางภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ในการนำมาใช้เป็นอาหารนั้นนอกจากทานผลสดแล้ว ยังสามารถนำมาแปรรูปได้ด้วย เช่น ลำไยกระป๋อง, ลำไยแช่แข็ง และลำไยอบแห้งเพื่อเก็บไว้กินได้นานๆ ทำเป็นไวน์ลำไย หรือนำมาปรุงเป็นขนมหวาน เช่น ข้าวเหนียวเปียกลำไย ก็มีรสชาติอร่อยเช่นกัน

นอกจากการนำมาเป็นอาหารแล้ว ตามตำราการแพทย์แผนไทยยังมีการนำเอาส่วนประกอบต่างๆ ของลำไยใช้เป็นยารักษาโรค คือ

- เนื้อผลช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงร่างกาย รักษาอาการตัวบวมในสตรีที่คลอดบุตร
- เมล็ดใช้ทาแผลเน่าเปื่อย คัน หรือแผลเรื้อรังที่มีหนอง ช่วยรักษาเกลื้อน ใช้ห้ามเลือด ขับปัสสาวะ เปลือกใช้ทาแผลที่โดนน้ำร้อนลวกจะไม่ปวดแผล และไม่เกิดแผลเป็น

คุณค่าทางโภชนาการของลำไย ประกอบด้วย

พลังงาน 71 แคลอรี
ไขมัน 1.4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 15.6 กรัม
เส้นใยอาหาร 0.3 กรัม
โปรตีน 1 กรัม
แคลเซียม 23 มิลลิกัรม
ฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.4 มิลลิกรัม
ไนอะซิน 0.3 มิลลิกรัม
วิตามินบี 1 0.03 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.14 มิลลิกรัม
วิตามินซี 56 มิลลิกรัม

อย่างไรก็ตาม ในการทานผลไม้นั้นก็ควรทานให้หลากหลายชนิด แต่ผลไม้บางชนิดก็ดูจะเป็นผลไม้ต้องห้ามสำหรับผู้บริโภคบางคนได้เช่นกัน เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ก็ไม่ควรทานผลไม้ที่มีรสชาติหวานจัด หรืออาจรับประทานได้ในปริมาณน้อยๆ เช่น ทุเรียน, น้อยหน่า โดยเฉพาะลำไยสดนั้นควรทานแต่พอประมาณ หากทานมากเกินไปจะทำให้เกิดอาหารเจ็บคอหรือร้อนในได้ เนื่องจากเนื้อลำไยมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูง หากท่านใดที่ทานลำไยแล้วมีอาการเช่นนี้ก็ให้ดื่มน้ำเกลือตามลงไปก็จะช่วยบรรเทาอาการนี้ได้ (สูตรน้ำเกลือประกอบด้วย น้ำเปล่า 1 แก้ว เกลือ 1/2 ช้อนชา ละลายให้เข้ากัน) หรือบางท่านอาจแก้ด้วยการทานมังคุดตามลงไป เนื่องจากมีความเชื่อมังคุดเป็นผลไม้ที่เย็นก็จะช่วยดับร้อน แก้อาการกันได้ และเพื่อสุขภาพที่ดีเราควรทานผลไม้ทุกๆ วันเช่นเดียวกับผัก ร่างกายจึงจะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน ที่สำคัญยังช่วยทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ใยอาหารในผลไม้ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ป้องกันโรคมะเร็งหลายชนิดโดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ ก็ขอฝากถึงผู้อ่านให้หันมาทานผลไม้กันเยอะๆ โดยเฉพาะผลไม้ที่เป็นของบ้านเราเอง เพราะนอกจากจะช่วยเกษตรกรให้มีรายได้แล้ว ตัวผู้บริโภคเองก็จะได้มีสุขภาพที่ดีตามมาด้วย

ปัญหาคือกินในปริมาณเท่าไรจึงจะพอดี ตามหลักโภชนาการได้แนะนำให้กินผลไม้ 4-5 ส่วนต่อวัน ซึ่งผลไม้ที่กินก็ควรจะมีความหลากหลายใน 1 ส่วนที่กล่าวถึงนี้ ถ้าเป็นสับปะรดคือ 6 ชิ้น มะละกอ 6 ชิ้น แตงโม 3 ชิ้น เงาะ 4 ผล ชมพู่ 2 ผล มะม่วงสุก 1/2 ผล สำหรับลำไย 1 ส่วน ถ้าเป็นผลใหญ่ก็จะได้ประมาณ 6 ผล ผลเล็ก 10 ผล กล่าวคือ ถ้าเราจะกินแต่ลำไยเพียงอย่างเดียวตามสัดส่วนที่กำหนดในหนึ่งวัน ก็ไม่ควรเกิน 30 ลูกใหญ่ 50 ลูกเล็ก แต่ในความเป็นจริงถ้ากินมากขนาดนี้จะร้อนมาก และในทางการแพทย์แผนไทยเราไม่แนะนำให้กินอย่างเดียว ควรกินผลไม้อย่างอื่นด้วย สมมุติว่าเรามีชมพู่ เงาะ สับปะรด ลำไย ในตู้เย็นก็ควรกินทุกอย่างดังนี้คือ ชมพู่ 2 ลูก เงาะ 1 ลูก สับปะรด 6 ชิ้น และลำไย 12 ลูก (2 ส่วน) เป็นต้น จะได้ผลไม้ทั้งหมดนี้ เท่ากับ 5 ส่วนของอาหาร ถ้าต้องการลดความอ้วน วันนั้นก็ควรกินข้าวสวยให้น้อยลง เช่น ควรกินไม่เกิน 4 ทัพพี เป็นต้น นี่คือคนปกติกิน คนเป็นเบาหวานก็ให้ลดปริมาณลง หันมากินผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวแทน ถ้าต้องการกินลำไยก็ไม่ควรเกิน 6 ลูก ถ้าอยากกินก็ต้องลดข้าวลง

ดังนั้น ถ้าครอบครัวหนึ่งซื้อลำไยมา 2 กิโลกรัม ลำไย 12 ลูก น้ำหนัก 1 ขีด ถ้าลำไยไม่มีก้าน 6 ลูกใหญ่ หนัก 56 กรัม 1 กิโลกรัม มีลำไยประมาณ 100 ลูก ก็จะกินได้ประมาณ 8 คน ถ้ากินลำไยคนละ 2 ส่วนอาหารคือ คนละ 12 ลูกต่อวัน รัฐบาลขอร้องให้ซื้อลำไยครอบครัวละ 2 กิโลกรัม ก็กินลำไยติดต่อกันได้ 3-4 วัน ก็หมดพอดีสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 4-6 คน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะช่วยรัฐบาลซื้อลำไย 2 กิโลกรัม หลังจากกินลำไยแล้วหากมีอาการร้อนในก็ให้กินน้ำเกลือตาม ก็ตามสูตรที่หมอเขียนไว้ตอนต้นนั่นแหละ.

ลูกชิ้น...ของชอบ

ลูกชิ้น...

ถือเป็นอาหารยอดนิยมของคนไทย นิยมทั้งบริโภคเป็นอาหารหลัก และบริโภคเป็นอาหารรองท้องก่อนรอเวลาอาหารมื้อใหญ่ต่อไป ลูกชิ้น หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เครื่องเทศ เครื่องปรุงรส และวัตถุเจือปนอาหารอื่นๆ โดยนำมาบดผสมกันอย่างละเอียดจนรวมเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วทำเป็นรูปร่างตามต้องการ ที่มีขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง แล้วนำมาลวกให้สุก แค่นี้ก็นำมารับประทานได้

บางคนนิยมบริโภคลูกชิ้นดิบๆ เพราะเข้าใจว่าผ่านการลวกในน้ำร้อน และสุกแล้วคงไม่มีเชื้อโรคปนเปื้อนแต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากในการผลิตอาหารแทบทุกชนิดหรือแม้แต่ลูกชิ้นนั้น หากใช้วัตถุดิบที่ไม่ได้คุณภาพ ไม่สะอาด หรือใช้อุปกรณ์เครื่องมือ และภาชนะบรรจุที่ไม่สะอาด อาจมีเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคปนเปื้อนได้

อีกทั้งหากลูกชิ้นเก็บรักษาหรือบรรจุในภาชนะ และขนส่งไม่ถูกสุขลักษณะแล้ว อาจมีเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคปนเปื้อนได้เช่นกัน แม้ว่าจะผ่านวิธีการลวกมาแล้วก็ตาม เชื้อจุลินทรีย์ที่ว่านี้ ได้แก่ สแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส และซาลโมเนลลา เจ้าเชื้อทั้ง 2 ตัวนี้ แม้มีชื่อแตกต่างกัน แต่เป็นเชื้อที่เป็นสาเหตุการเกิดโรคอาหารเป็นพิษ

อาการของโรคทั่วไปคือ คลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง ท้องเดิน ปวดท้อง หนาวสั่นและอ่อนเพลีย อาการอาจทุเลาภายใน 1-2 วัน แต่ถ้าเราไม่อยากให้ร่างกายได้รับความเจ็บปวด ก็ควรระวังในการเลือกรับประทานอาหาร หรือหากรับประทานไม่หมดก็ควรเก็บในตู้เย็น อย่าวางใจว่าเป็นอาหารที่นึ่งหรือทำให้สุกแล้วจะไม่มีเชื้อโรค ตารางด้านล่างนี้ ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ควรเลือกรับประทานอาหารอย่างไร?เพราะมีตัวอย่างลูกชิ้นก่อนปิ้ง ที่สถาบันอาหารสุ่มตรวจ และพบว่า มีเชื้อจุลินทรีย์ปนเปื้อนอยู่ถึง 2 ตัวอย่าง

ขณะที่ลูกชิ้นที่ผ่านการปิ้งแล้ว ตรวจพบเชื้อจุลินทรีย์ปนเปื้อนอยู่บ้าง แต่ยังอยู่ในระดับที่ปลอดภัย!!!

อาหารสำหรับผู้เป็นเบาหวาน

อาหารสำหรับผู้เป็นเบาหวานคือ อาหารทั่วไปที่ไม่แตกต่างจากอาหารที่ทุกคนในครอบครัวควรรับประทาน แต่เป็นอาหารที่มีความหลากหลายที่ร่างกายต้องการครบถ้วนและสมดุล จึงเป็นอาหารที่ทุกคนในครอบครัวสามารถรับประทานร่วมกับผู้ป่วยได้ สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงเสมอคือปริมาณและชนิดของอาหารที่ควรรับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณและชนิดของแป้งและไขมัน เป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดรวมถึงการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ นอกจากนี้ สิ่งที่ควรปฎิบัติให้เป็นนิสัยคิอการรับประทานอาหารมื้อหลักหรืออาหารว่างให้เป็นเวลาทุกวัน และรับประทานในปริมาณที่ใกล้เคียงกันในแต่ละวัน ไม่งดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง ผู้ป่วยสามารถที่จะลองอาหารแปลกๆ ใหม่ๆ ได้เพื่อไม่ให้เกิดความจำเจถ้าต้องการลดน้ำหนัก ให้ลดอาหารที่รับประทานในแต่ละวันแต่ไม่ควรงดมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะอาจจะทำให้รับประทานเกินอัตราในมื้อต่อไป ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นลงไม่สม่ำเสมอ
ผู้เป็นเบาหวานอาจใช้ปิรามิดแนะแนวอาหารหรือธงโภชนบัญญัติของไทยเป็นแนวทางเลือกรับประทานอาหารได้หลากหลายและสมดุล เนื่องจากไม่มีอาหารชนิดใดชนิดเดียวที่จะให้สารอาหารครบถ้วน ควรเลือดรับประทานอาหารให้ครบหมวดหมู่ทุกวัน เพื่อให้ได้พลังงานและคุณค่าที่พอเหมาะกับร่างกายของแต่ละคนซึ่งขึ้นอยู่กับ อายุ เพศ ขนาดรูปร่าง และระดับกิจกรรมการทำงานในแต่ละวัน ปรึกษานักโภชนบำบัดเพื่อรับคำแนะนำในการรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง รวมถึงระดับพลังงานที่เหมาะสมในการควบคุมเบาหวามอย่างมีคุณภาพ

สิ่งที่ผู้เป็นเบาหวานควรให้ความสนใจกับฉลากโภชนาการ
- ควรเปรียบเทียบปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภคกับหมวดอาหารแลกเปลี่ยนซึ่งโดยปกติจะไม่เท่ากัน- ปริมาณคาโบร์ไฮเดรตทั้งหมดและปริมาณน้ำตาล จะช่วยให้ผู้เป็นเบาหวานสามารถแลกเปลี่ยนอาหารประเภทขนมหวานได้เล็กน้อยในบางโอกาส- ปริมาณพลังงาน ไขมันรวม ไขมันอิ่มตัว และคอเลสเตอรอล สำหรับผู้ที่ต้องการนับพลังงานและไขมัน รวมถึงผู้ที่ต้องการควบคุมคอเลสเตอรอลและน้ำหนักตัว- ปริมาณโซเดียมเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีโรคความดันและลดความเสี่ยงของโรคไต
แนวทางการบริโภคเพื่อสุขภาพประจำวัน
1.ข้าว/แป้ง/ถั่ว/เมล็ดธัญพืช - ควรเลือกรับประทานข้าวซ้อมมือหรือขนมปังที่ทำจากแป้งที่ไม่ได้ขัดสีเพื่อให้ร่างกายได้รับเส้นใยอาหารมากขึ้น - ธัญพืช เช่น ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง เป็นแหล่งของใยอาหาร - เลือกอาหารว่างที่มีไขมันต่ำ เช่น ข้าวโพด เผือก มัน ฟักทอง ขนมปัง ธัญพืช เป้นต้น
2.ผัก - เลือกรับประทานผักให้หลากหลาย เพื่อให้ได้รับวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารเพียงพอ - หลีกเลี่ลงการผัดผักด้วยน้ำมันมากๆหรือการเติมซอสที่เค็มจัด
3.ผลไม้ - เลือกผลไม้สดแทนน้ำผลไม้ เพราะจะได้กากใยอาหารมากกว่า - ถ้าเลือกน้ำผลไม้แทนผลไม้สด ควรเป้นน้ำผลไม้ 100 %
4.นม และผลิตภัณฑ์นม(พร่อง หรือขาดไขมัน) - เลือกนม และผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนย นอกจากให้โปรตีนสูงแล้ว ยังให้แคลเซี่ยมสูงด้วย - หลีกเลี่ยงนมปรุงแต่งรสต่างๆ
5.โปรตีน หรือเนื้อสัตว์ (ไขมันต่ำ) - เลือกปลาและเต้าหู้ให้บ่อยขึ้น - เลือกเนื้อล้วน ไม่ติดหนัง และมัน - ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง ควรจำกัดปริมาณไข่แดง เครื่องในสัตว์ เป็นต้น
6.ไขมัน ของหวาน แอลกอฮอล์ อาหารที่มีเกลือสูง - หลีกเลี่ยงขนมหวานที่มีทั้งน้ำตาลและไขมันสูง เช่น คุกกี้ เค้ก ไอศกรีม เป้นต้น - หากต้องการรสชาติหวานอาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สารให้ความหวานแทนน้ำตาล - จำกัดไขมันที่จะใช้ปรุงอาหารแม้จะเป็นน้ำมันพืช - หลีกเลี่ยงไขมันสัตว์ เช่น น้ำมันหมู หมูสามชั้น และเนยสด - จำกัดกะทิ - หลีกเลี่ยงการทอด และผัดที่ใช้น้ำมันมาก - ปรุงอาหารโดยวิธี ตุ๋น ต้ม นึ่ง ย่าง อบ ยำ - หลีกเลี่ยงอาหารหมักดองที่มีส่วนผสมของเกลือสูง - หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งให้พลังงานใกล้เคียงกับไขมัน และร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นไขมัน(ไตรกีเซอร์ไรด์)ได้

แนวทางอาหารเพื่อสุขภาพ

เรื่องอาหารการกินจะว่าไปเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ก็ว่าได้ เพราะที่เราทนลำบากตรากตรำนั้น ก็เพื่อหาเงินมาสนองความต้องการพื้นฐาน โดยเฉพาะเรื่องการกิน แต่ใช่ว่า พอมีเงินมากขึ้น จะกินสิ่งดีๆเพื่อสุขภาพมากขึ้น แต่กลับเปล่า เรามาดูสิว่าแนวทางอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งผมเอาแนวทางนี้มาจาก United Sates Department of Agriculture (USDA) จะเป็นอย่างไรกันบ้าง
(1) กินอาหารให้หลากหลาย - เพื่อให้ครบหมู่นั้นแหละท่าน
(2) รักษาสมดุลระหว่างอาหารที่เรากินเข้าไปกับกิจกรรมของร่างกาย - หมายถึงว่าไม่ใช่แต่จะกิน แล้วไม่ยอมออกกำลังกาย ไม่งั้นอ้วนแน่ๆ อันอาจเป็นที่มาของโรค ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และเบาหวาน
(3) ทานอาหารที่เป็นพวกธัญพืช ผลไม้ และผัก ซึ่งมันจะเต็มไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และ คอมเพล็กซ์ คาร์โบไฮเดรต ซึ่งสามารถช่วยให้คุณลดการทานไขมันลง
(4) ทานไขมันต่ำ โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว และคอเลสเตอรอล เพื่อลดปัญหาเรื่องของโรคหัวใจ มะเร็ง และช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
(5) ทานน้ำตาลน้อยๆ อาหารที่เต็มไปด้วยน้ำตาลจะมีแคลอรีสูงมาก แต่จะมีคุณค่าโภชนาการต่ำ นอกจากนี้ทำให้ฟันเราไม่ดีด้วย
(6) ทานอาหารที่ไม่เค็มจัด เพราะเดี่ยวคุณจะเค็มซะเอง เฮ้ย กลัวคุณจะเป็นความดันโลหิตสูงนะ
(7) ถ้าเป็นนักดื่ม ก็กรุณาดื่มแต่น้อยๆเถอะ แอลกอฮอล์มีแคลอรีสูงมาก แต่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร

อาหารบำรุงสมอง

อาหารมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมอง ไม่แพ้การพัฒนาทางร่างกายเป็นความจริง ที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย จึงปรนเปรออาหารการกินให้กับลูกๆ ด้วยหวังว่าอาหารเหล่านี้ จะทำให้ความคิดแล่นความจำดีสมองโปร่งใสทำให้ลูกเฉลียวฉลาด ได้
อาหารที่เชื่อกันว่าช่วยบำรุงสมองมีอยู่หลายอย่าง เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ น้ำซุปไก่เป็นต้น แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดเห็นจะเป็นปลา ผู้ใหญ่มักให้เด็กกินปลา โดยอ้างว่าปลาบำรุงสมอง กินปลาแล้วจะฉลาดขึ้น และถ้ากินหัวปลาได้ จะยิ่งฉลาดเข้าไปใหญ่
หากอาหารสามารถบำรุงสมองได้จริงเช่นนั้น เชื่อว่าเด็กส่วนใหญ่ในประเทศไทยคงไม่สอบตก ฉะนั้นจะหวังให้อาหารช่วยให้ฉลาดขึ้นคงจะเป็นไปไม่ได้เพราะอาหารช่วยบำรุงสมองได้ ในระยะที่สมองเติบโต หรือในระยะเริ่มแรกของชีวิตเท่านั้น เมื่อเด็กเข้าโรงเรียนสมองเติบโต เต็มที่เสียแล้ว ไม่ว่าจะทำนุบำรุงเรื่องอาหารเพียงใดก็ย่อมไม่ทำให้เฉลียวฉลาดขึ้น
ความเฉลียวฉลาดของแต่ละคน ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ ถึงกรรมพันธุ์จะเป็นตัวกำหนด ขีดขั้นตอนสติปัญญา แต่เด็กมักจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเต็มขั้นตามกรรมพันธุ์ กำหนด หรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับอาหารที่คุณแม่รับประทานในช่วงตั้งครรภ์และอาหารที่ลูกกิน ในช่วงแรกของชีวิต
ถ้าหากในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ คุณแม่รับประทานอาหารครบห้าหมู่และมีปริมาณเพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกาย เซลล์สมองของลูกจะสามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ เป็นรากฐานที่มั่นคง เมื่อได้รับการศึกษาได้เล่าเรียนฝึกฝนก็ย่อมมีโอกาสที่จะมีสติปัญญา เฉลียวฉลาดได้เต็มขั้นตามที่กรรมพันธุ์กำหนด
ตรงกันข้าม เมื่อขาดแคลนอาหารทั้งในปริมาณ และคุณภาพเซลล์สมองไม่อาจเจริญเติบโต อย่างเต็มที่ เมื่อสมองหยุดเจริญเติบโตแล้วจำนวนเซลล์สมองของเด็กเหล่านี้ อาจน้อยกว่าเด็กที่ได้รับอาหารอย่างเพียงพอถึงร้อยละ 15 ถึง 20 อาการซึมเศร้า และเชื่องช้าที่ปรากฏภายนอกเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นผล ของจำนวนเซลล์ที่น้อยกว่าปกติ แม้จะได้รับการศึกษาเล่าเรียน มีโอกาสได้รับการฝึกฝน เท่าเทียมกับเด็กคนอื่น ก็ไม่อาจมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเต็มขีดขั้นที่กรรมพันธุ์ กำหนดได้ หรืออีกนัยหนึ่งถึงพ่อแม่จะฉลาดหลักแหลมเพียงใดลูกก็ไม่มีโอกาส ฉลาดเท่าเทียมพ่อแม่ได้
ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า อาหารมีอิทธิพลต่อการพัฒนาของสมองตั้งแต่ก่อนเด็กเกิด นับตั้งแต่ปฏิสนธิขึ้นในครรภ์ของแม่เลยทีเดียว อาหารบำรุงสมองของเด็ก จึงเป็นอาหารในระยะตั้งครรภ์ของแม่ และอาหารของเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 1-2 ปี
ในขณะคุณแม่ตั้งครรภ์ จึงควรเอาใจใส่อาหารการกิน อย่างน้อยที่สุดต้องกินให้ครบห้าหมู่ เพิ่มอาหารที่ให้โปรตีนสูง ได้แก่ ไข่ เนื้อสัตว์ และนม ถ้าหากมีรายได้น้อยอาจพึ่งโปรตีน จากถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง เป็นต้น ถ้าคุณแม่บางรายกินนมวัวไม่ได้ ก็ควรเลี่ยงไปกินนมถั่วเหลืองแทน
อาหารบำรุงสมองที่ดีที่สุดของทารกแรกเกิด คือนมแม่
เมื่อเด็กอายุครบ 4 เดือนแล้ว คุณพ่อคุณแม่ ควรให้อาหารอื่นเพิ่มเติม ไม่ใช่เฉพาะข้าวกับกล้วยเท่านั้น ควรหัดให้เด็กกินไข่ เนื้อปลา ผัก และผลไม้ต่าง ๆ และถือโอกาสปลูกฝังนิสัยการกินอาหารที่ดีเสียแต่เนิ่น ๆ

ผักผลไม้ 7 อย่างที่คุณผู้หญิงไม่ควรพลาด

เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้
• ลูกพรุน (Prunes) ลูกพรุนเป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผู้หญิงเรา เมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิต คือวัยยี่สิบห้า ร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ มากมาย ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มด้วยเลือดฝาดก็เริ่มหมองคล้ำ ผิวพรรณจะเป็นสีชมพู-ระเรื่อหรือซีดโทรม เกิดได้หลาย สาเหต เช่นผิวมีความหนามากขึ้นตามวัยจนมองไม่เห็น เลือดฝาด หรือเลือดไม่มีให้ฝาดคือเป็นโรคโลหิตจาง นั่นเอง พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการ ดูดซึมธาตุต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือน สตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอางดูเป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด ลองรับประทานลูกพรุนสดๆ หรือลูกพลัมดูสิค่ะไม่เลวเลยทีเดียว
• ถั่ว ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม “ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ” ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วย โปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ ชนิดที่ ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยาก อาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรีที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก
• บรอคโคลี่ เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลายเพราะบรอค-โคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตาม ธรรมชาติซึ่งเจ้าตัวซีลีเนียมนี้แหละค่ะ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย
• กล้วยไข่ กล้วยทุกชนิดดีต่อสุขภาพแต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้วความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ ขณะนั้นเองมีสองสิ่งที่สำคัญเกิดขี้นในร่างกาย ของเรา ซึ่งก็คือสิ่งแรก เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้นสิ่งที่สองความสามารถในการ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆพร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระ (Detoxification) ก็ลดลงอย่างน่าตกใจเช่นกันดังนั้น กลยุทธ์ที่คุณจะสู้กับความแก่ด้วยตนเองก็คือคุณต้อง รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระให้มากซึ่งสารนี้เรารู้จักในชื่อที่ เรียกว่า แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants) ซึ่งในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม
• ฝรั่ง คุณผู้หญิงทั้งหลายทราบหรือไม่คะว่าฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้าง คอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัว สารต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆตัวเกาะเกี่ยวกัน เป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบน ใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆ ทั้งหลายที่อยาก คงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหันมารับประทานฝรั่งเป็นประจำนะคะ
• แอปเปิ้ล มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ “เพคติน” แต่ที่น่าสนใจสำคัญ คุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว “เพคติน” นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนักและลด โคเลสเตอรอล หากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้เพราะ แอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 %ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษ ชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลงทำให้คุณ ไม่รู้สึกหงุดหงิด หรืออ่อนเพลีย แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวันช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลจากการวิจัยชี้ว่าเมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อย สลายไขมันและแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ลจะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอล เหล่านั้นและพาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย
• ส้ม แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรม-ชาติการรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็วเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะนอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วยนะคะ
ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นสำหรับคุณๆผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการ รักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้วผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสถาบัน โภชนาการแห่งชาติอเมริกาจึงได้แนะนำขนาด-ในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทาน รวมกันให้ได้วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆทั้งหลายมีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัย ไข้เจ็บมารบกวนค่ะ

7 สุดยอดอาหารที่ทำให้อารมณ์ดี

เป็นธรรมดาที่คนเราต้องมีวันที่อารมณ์เสีย หรือหงุดหงิดกันบ้าง...แต่ทราบไหมคะว่าเราสามารถแก้ไขอารมณ์บูด ๆ ของเราด้วยอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวันได้ด้วย...Susan Moores โฆษกจากสมาคมโภชนาการของอเมริกา และที่ปรึกษาด้านสารอาหารในเซนต์ปอล กล่าว?ประจำวันเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยรักษาสมดุลของอารมณ์ เพราะนอกจากอาหารจะให้พลังงานแล้ว ยังสร้างเซโรโทนิน ซึ่งเป็นเคมีในสมองทำให้จิตใจคุณสงบและเย็นขึ้น ดังนั้นเมื่อคนเราเลือกอานอกจากนั้นมัวร์ยังกล่าวว่า เดี๋ยวนี้คนหันมานิยมการรับประทานอาหารแบบโลว์คาร์โบไฮเดรต (การรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตแต่น้อย) กันมากเป็นเหตุให้มีผลทางด้านอารมณ์ เพราะคาร์โบไฮเดรตจะมีผลต่อการสร้างเซโรโทนิน เมื่อเราขาดแคลนคาร์โบไฮเดรตอารมณ์ของคนเราก็เปลี่ยนไปด้วย...และถ้าคุณอยากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนอารมณ์ดี อาหารเหล่านี้เป็นสิ่งที่เหล่าคุณหมอเขาใช้ในการบำบัดคนไข้ค่ะ ปลาซัลมอนและแม็กคาเรล ปลา 2 ประเภทนี้มีโอเมก้า 3 อยู่เยอะมาก ดังนั้นจึงแนะนำกันว่าเป็นอาหารที่เยี่ยมมากสำหรับมื้อดินเนอร์ ที่สำคัญมีการวิจัยมาแล้วว่าโอเมก้า 3 มีผลกับอารมณ์ของคนเรา นอกเหนือจากที่โอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ที่ดีไปกว่านั้นซัลมอนยังเต็มไปด้วยเซเลเนียมที่เป็นสาระสำคัญในการต่อต้านอนุมูลอิสระด้วยคาโนลาออยล์ (Canola Oil) เป็นน้ำมันจากดอกคาโนลาซึ่งกำลังได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเต็มไปด้วยวิตามินอีซึ่งมีผลต่อระดับอารมณ์ของคนเรา แต่ด้วยความที่ในน้ำมันจะมีไขมัน ทำให้แนะนำกันว่าให้รับประทานได้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม โดยพยายามใช้น้ำมันนี้เวลาคุณทอดปลาซัลมอนหรือทำอาหารสุขภาพรับประทานผักโขมและถั่วสด ในผักใบสีเขียวเข้มอย่างผักโขมหรือถั่วนั้นมีโฟเลตสูง ซึ่งช่วยให้อารมณ์ของคนเราอยู่ในระดับปกติ เนื่องจากโฟเลตมีส่วนสำคัญในการสร้างเซโรโทนิน นอกจากนั้นการรับประทานถั่วยังได้รับวิตามินซีและไฟเบอร์ด้วย แต่มีคำแนะนำว่าถั่วกระป๋องจะมีสารอาหารน้อยกว่าถั่วสด ดังนั้นถ้าเป็นไปได้คุณควรเลือกรับประทานถั่วสด ๆ เพื่อสารอาหารที่เต็มที่...ผสมถั่วลงในทูน่าสลัด หรือเพิ่มผักใบเขียวในชามสลัดของคุณก็จะเป็นมื้ออาหารที่ไม่เลวเลยทีเดียวถั่ว Chickpeas เป็นอาหารที่มีโฟเลตสูงแต่ไขมันต่ำ และสำหรับคนที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์สามารถที่จะทานถั่วชนิดนี้แทนได้เพราะมีโปรตีนอยู่สูง แถมมีรสอร่อย นอกจากนั้นชิกพียังมีไฟเบอร์, ไอออน และวิตามินอีอยู่เยอะ มีคำแนะนำการประกอบอาหารง่าย ๆ จากถั่วชิกพีมาด้วยว่า ให้นำชิกพีกระป๋องมาเทเอาน้ำออก ผสมกระเทียมสับใส่ลงไป ใส่น้ำมะนาว และน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนลา ปั่นในเบลนเดอร์หรือเครื่องผสมอาหาร เติมเกลือพริกไทยหรือเครื่องปรุงรสที่ชอบ แค่นี้ก็จะได้อาหารสุขภาพที่นำมาจิ้มรับประทานกับผักสดได้อร่อยไก่ เป็นอาหารที่มีวิตามินบี 6 อยู่มาก ซึ่งโดยหลักแล้วจะช่วยสร้างเซโรโทนินขึ้นในร่างกายของเรา นอกจากนั้นในไก่ยังเป็นแหล่งของเซเลเนียม วิตามินและสารอาหารอื่น ๆ ด้วย เพียงแต่ต้องคำนึงถึงนิดหนึ่งว่าการรับประทานหนังไก่จะช่วยเพิ่มไขมันให้กับเราไม่น้อยเช่นกัน ฉะนั้นเลือกรับประทานอกไก่ที่ปราศจากหนังดีกว่าค่ะ เพราะให้พลังงานเพียง 106 แคลอรี/3.5 ออนซ์ (ประมาณครึ่งอก) เท่านั้นหารที่ดี อารมณ์ของเราก็จะดีไปด้วย?

สำคัญหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน

ความนำ
ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการด้านต่าง ๆ ของโลกยุคโลกาภิวัตน์ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจของทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาของชาติ ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศเพื่อสร้างคนไทยให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพพร้อมที่จะแข่งขันและร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ในเวทีโลก หลักสูตรการศึกษาของประเทศที่ใช้อยู่ คือหลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2533) หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2533) และหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2524 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2533) ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการโดยกรมวิชาการได้ติดตามผลและดำเนินการวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักสูตรตลอดมา ผลการศึกษาพบว่า หลักสูตรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนานกว่า 10 ปี มีข้อจำกัดอยู่หลายประการ ไม่สามารถส่งเสริมให้สังคมไทยก้าวไปสู่สังคมความรู้ได้ทันการณ์ ในเรื่องที่สำคัญดังต่อไปนี้
1. การกำหนดหลักสูตรจากส่วนกลางไม่สามารถสะท้อนสภาพความต้องการที่แท้จริงของสถานศึกษาและท้องถิ่น
2. การจัดหลักสูตรและการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ยังไม่สามารถผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีในภูมิภาค จึงจำเป็นต้องปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนให้คนไทยมีทักษะกระบวนการและเจตคติที่ดีทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีความคิดสร้างสรรค์
3. การนำหลักสูตรไปใช้ยังไม่สามารถสร้างพื้นฐานในการคิด สร้างวิธีการเรียนรู้ให้คนไทยมีทักษะในการจัดการและทักษะในการดำเนินชีวิต สามารถเผชิญปัญหาสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศยังไม่สามารถที่จะทำให้ผู้เรียนใช้ภาษา ต่างประเทศโดยเฉพาะภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสารและการค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ที่มีอยู่หลากหลายในยุคสารสนเทศ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กำหนดให้บุคคล มีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึง และมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย การจัดการศึกษาอบรมของรัฐ ต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองท้องถิ่นและชุมชน ประกอบกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กำหนดให้การศึกษาเป็นกระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์ความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อมสังคมแห่งการเรียนรู้ และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข เปิดโอกาสให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา พัฒนาสาระ และกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติดังกล่าวได้กำหนดให้มีการจัดทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองที่ดี ของชาติ การดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ ตลอดจนเพื่อการศึกษาต่อ และให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานจัดทำสาระของหลักสูตร ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสภาพปัญหาในชุมชน และสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติดังกล่าว กำหนดให้มีการศึกษาภาคบังคับ จำนวน 9 ปี
ด้วยวิสัยทัศน์ของรัฐที่เชื่อมั่นในนโยบายการศึกษาในการสร้างคน สร้างงาน เพื่อช่วยกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เป็นการสร้างชาติให้มั่นคงได้อย่างยั่งยืน เชื่อมั่นในนโยบายการศึกษาในการสร้างชาติ ปรับโครงสร้างและระบบการศึกษา ยึดหลักการบริหารจัดการที่เน้นคุณภาพ ประสิทธิภาพและความเสมอภาค ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและเชื่อมั่นในนโยบายการศึกษาเพื่อสร้างคน บูรณาการการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมในการปฏิรูปการเรียนรู้ และเชื่อมั่นในนโยบายการศึกษาเพื่อสร้างงาน สร้างเยาวชนให้มีความรู้คู่กับการทำงาน กระทรวงศึกษาธิการโดยอาศัยอำนาจตามความในบทเฉพาะกาลมาตรา 74 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 จึงเห็นสมควรกำหนดให้มีหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 โดยยึดหลักความมีเอกภาพด้านนโยบายและมีความหลากหลายในการปฏิบัติ กล่าวคือเป็นหลักสูตร แกนกลางที่มีโครงสร้างหลักสูตรยืดหยุ่น กำหนดจุดหมาย ซึ่งถือเป็นมาตรฐานการเรียนรู้ในภาพรวม 12 ปี สาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้แต่ละกลุ่ม มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น เป็นช่วงชั้นละ 3 ปี จัดเฉพาะส่วนที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิต ความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองดีของชาติ การดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ ตลอดจนเพื่อการศึกษาต่อ ให้สถานศึกษาจัดทำสาระในรายละเอียดเป็นรายปีหรือรายภาคให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาในชุมชน สังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณสมบัติอันพึงประสงค์ เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ รวมถึงจัดให้สอดคล้องกับความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียนแต่ละกลุ่มเป้าหมายด้วย
การจัดการศึกษามุ่งเน้นความสำคัญทั้งด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อพัฒนาคนให้มีความสมดุล โดยยึดหลักผู้เรียนสำคัญที่สุด ทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ ให้ความสำคัญต่อความรู้เกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ ครอบครัว ชุมชน ชาติ และสังคมโลกรวมทั้งความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของสังคมไทย และระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความรู้ความเข้าใจและ ประสบการณ์เรื่องการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญา ความรู้ และทักษะด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง ความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพ การดำรงชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข
สถานศึกษาจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้ป้องกันและแก้ไขปัญหา จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่องผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน ปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ อำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน และจัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ และสามารถเทียบโอนผลการเรียนและประสบการณ์ได้ทุกระบบการศึกษา
อนึ่งเพื่อให้การใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ สถานศึกษาต้องมีการประสานสัมพันธ์ และร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชน ให้การพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น กระทรวงศึกษาธิการยังจำเป็นต้องสนับสนุน ส่งเสริมด้านการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ทั้งในสถานศึกษา และนอกสถานศึกษา ให้ครอบคลุมหลักสูตรและกว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อการพัฒนาไปสู่ความเป็นสากล ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการจะได้จัดทำเอกสารประกอบหลักสูตร เช่น คู่มือการใช้หลักสูตร แนวทางการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา คู่มือครู เอกสารประกอบหลักสูตรกลุ่มสาระต่างๆ แนวทางการวัดและประเมินผล การจัดระบบแนะแนวในสถานศึกษา การวิจัยในสถานศึกษาและการใช้กระบวนการวิจัยในการพัฒนาการเรียนรู้ ตลอดจนเอกสารประชาสัมพันธ์หลักสูตรให้ประชาชนทั่วไป ผู้ปกครอง และนักเรียน มีความเข้าใจและรับทราบบทบาทของตนเองในการพัฒนาตนเองและสังคม

หลักการ
เพื่อให้การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นไปตามแนวนโยบายการจัดการศึกษาของประเทศ จึงกำหนดหลักการของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไว้ดังนี้
1. เป็นการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มุ่งเน้นความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล
2. เป็นการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนจะได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน โดยสังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
3. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาและเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด สามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มตามศักยภาพ4. เป็นหลักสูตรที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระ เวลา และการจัดการเรียนรู้
5. เป็นหลักสูตรที่จัดการศึกษาได้ทุกรูปแบบ ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายสามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์
จุดหมาย
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข และมีความเป็นไทย มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดจุดหมายซึ่งถือเป็นมาตรฐานการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดังต่อไปนี้
1. เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยในตนเอง ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของ
พระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์
2. มีความคิดสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน รักการอ่าน รักการเขียน และรักการค้นคว้า
3. มีความรู้อันเป็นสากล รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ มีทักษะและศักยภาพในการจัดการ การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยี ปรับ
วิธีการคิด วิธีการทำงานได้เหมาะสมกับสถานการณ์
4. มีทักษะและกระบวนการโดยเฉพาะทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ทักษะการคิด การสร้างปัญญา และทักษะในการดำเนินชีวิต
5. รักการออกกำลังกาย ดูแลตนเองให้มีสุขภาพและบุคลิกภาพที่ดี
6. มีประสิทธิภาพในการผลิตและการบริโภค มีค่านิยมเป็นผู้ผลิตมากกว่าเป็นผู้บริโภค
7. เข้าใจในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ภูมิใจในความเป็นไทย เป็นพลเมืองดียึดมั่นในวิถีชีวิตและการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
8. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ภาษาไทย ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี กีฬาภูมิปัญญาไทย ทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาสิ่งแวดล้อม
9. รักประเทศชาติและท้องถิ่น มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามให้สังคม

โครงสร้าง
เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปตามหลักการ จุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ ให้สถานศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้องมีแนวปฏิบัติในการจัดหลักสูตรสถานศึกษา
จึงได้กำหนดโครงสร้างของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานดังนี้
1. ระดับช่วงชั้น
กำหนดหลักสูตรเป็น 4 ช่วงชั้น ตามระดับพัฒนาการของผู้เรียน ดังนี้
ช่วงชั้นที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 3
ช่วงชั้นที่ 2 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6
ช่วงชั้นที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3
ช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 - 6
2. สาระการเรียนรู้
กำหนดสาระการเรียนรู้ตามหลักสูตร ซึ่งประกอบด้วยองค์ความรู้ ทักษะหรือกระบวนการการเรียนรู้ และคุณลักษณะหรือค่านิยม คุณธรรม จริยธรรมของผู้เรียนเป็น 8 กลุ่ม ดังนี้
2.1 ภาษาไทย
2.2 คณิตศาสตร์
2.3 วิทยาศาสตร์
2.4 สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
2.5 สุขศึกษาและพลศึกษา
2.6 ศิลปะ
2.7 การงานอาชีพและเทคโนโลยี
2.8 ภาษาต่างประเทศ
สาระการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่มนี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียนรู้ โดยอาจจัดเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มแรก ประกอบด้วย ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เป็นสาระการเรียนรู้ที่สถานศึกษาต้องใช้เป็นหลักในการจัดการเรียนการสอนเพื่อสร้างพื้นฐานการคิดและเป็นกลยุทธ์ในการแก้ปัญหาและวิกฤติของชาติ กลุ่มที่สอง ประกอบด้วย สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี และภาษาต่างประเทศ เป็นสาระการเรียนรู้ที่เสริมสร้างพื้นฐานความเป็นมนุษย์และสร้างศักยภาพในการคิดและการทำงานอย่างสร้างสรรค์
เรื่องสิ่งแวดล้อมศึกษา หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ไว้ในสาระการเรียนรู้กลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะ กลุ่มวิทยาศาสตร์ กลุ่มสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม กลุ่มสุขศึกษาและพลศึกษา
กลุ่มภาษาต่างประเทศ กำหนดให้เรียนภาษาอังกฤษทุกช่วงชั้น ส่วนภาษา ต่างประเทศอื่นๆ สามารถเลือกจัดการเรียนรู้ได้ตามความเหมาะสม
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดสาระการเรียนรู้ในแต่ละกลุ่มไว้เฉพาะส่วนที่จำเป็นในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนทุกคนเท่านั้น สำหรับส่วนที่ตอบสนองความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียนแต่ละคนนั้นสถานศึกษาสามารถกำหนดเพิ่มขึ้นได้ ให้สอดคล้องและสนองตอบศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคน
3. กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
เป็นกิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองตาม ศักยภาพ มุ่งเน้นเพิ่มเติมจากกิจกรรมที่ได้จัดให้เรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่ม การเข้าร่วมและปฏิบัติกิจกรรมที่เหมาะสมร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุขกับกิจกรรมที่เลือกด้วยตัวเองตามความถนัดและความสนใจอย่างแท้จริง การพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาองค์รวมของความเป็นมนุษย์ให้ครบทุกด้าน ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม โดยอาจจัดเป็นแนวทางหนึ่งที่จะสนองนโยบายในการสร้างเยาวชนของชาติให้เป็นผู้มีศีลธรรม จริยธรรม มีระเบียบวินัย และมีคุณภาพ เพื่อพัฒนาองค์รวมของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกของการทำประโยชน์เพื่อสังคม ซึ่งสถานศึกษาจะต้องดำเนินการอย่างมีเป้าหมาย มีรูปแบบและวิธีการที่เหมาะสม

กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ
3.1 กิจกรรมแนะแนว เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้เหมาะสมตามความแตกต่างระหว่างบุคคล สามารถค้นพบและ พัฒนาศักยภาพของตน เสริมสร้างทักษะชีวิต วุฒิภาวะทางอารมณ์ การเรียนรู้ในเชิง พหุปัญญา และการสร้างสัมพันธภาพที่ดี ซึ่งครูทุกคนต้องทำหน้าที่แนะแนวให้ คำปรึกษาด้านชีวิต การศึกษาต่อและการพัฒนาตนเองสู่โลกอาชีพและการมีงานทำ
3.2 กิจกรรมนักเรียน เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเองอย่างครบวงจร ตั้งแต่ศึกษาวิเคราะห์ วางแผน ปฏิบัติตามแผน ประเมิน และปรับปรุงการทำงาน โดยเน้นการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม เช่น โครงงาน กิจกรรมตามความสนใจ ชุมนุมวิชาการ กิจกรรมรักการอ่าน กิจกรรมสาธารณประโยชน์ ลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด และผู้บำเพ็ญประโยชน์
4. มาตรฐานการเรียนรู้
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่ม ที่เป็นข้อกำหนดคุณภาพผู้เรียนด้านความรู้ ทักษะ กระบวนการ คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม ของแต่ละกลุ่ม เพื่อใช้เป็นจุดมุ่งหมายในการพัฒนา ผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ซึ่งกำหนดเป็น 2 ลักษณะ คือ
4.1 มาตรฐานการเรียนรู้การศึกษาขั้นพื้นฐาน
เป็นมาตรฐานการเรียนรู้ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนเรียนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน
4.2 มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น
เป็นมาตรฐานการเรียนรู้ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนเรียนจบในแต่ละช่วงชั้น คือ ประถมศึกษาปีที่ 3 และ 6 และมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6
มาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดไว้เฉพาะมาตรฐานการเรียนรู้ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนทุกคนเท่านั้น สำหรับ มาตรฐานการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ตลอดจนมาตรฐานการเรียนรู้ที่เข้มขึ้น ตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียน ให้สถานศึกษาพัฒนาเพิ่มเติมได้
5. เวลาเรียน
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดเวลาในการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนไว้ดังนี้
ช่วงชั้นที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 มีเวลาเรียนประมาณปีละ 800-1,000 ชั่วโมง
โดยเฉลี่ยวันละ 4 - 5 ชั่วโมง
ช่วงชั้นที่ 2 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 มีเวลาเรียนประมาณปีละ 800-1,000 ชั่วโมง
โดยเฉลี่ยวันละ 4 - 5 ชั่วโมง
ช่วงชั้นที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 มีเวลาเรียนประมาณปีละ1,000-1,200 ชั่วโมง
โดยเฉลี่ยวันละ 5 - 6 ชั่วโมง
ช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 - 6 มีเวลาเรียนปีละไม่น้อยกว่า 1,200 ชั่วโมง
โดยเฉลี่ยวันละไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง

จากโรงเรียนวัดหนองจอก(www.pakdeeschool.com)

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552


ชิงชัน เป็นชื่อของต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ประเภทผลัดใบที่อยู่ในวงศ์ LEGUMINOSAE ชนิดหนึ่งซึ่งก็คือต้นไม้ที่อยู่ในวงศ์เดียวกันกับ ต้นประดู่ นั่นเอง
ต้นไม้ชนิดนี้ขยายพันธุ์โดยเมล็ดและก็สามารถแพร่กระจายพันธุ์ตามป่าดิบแล้งตลอดจนถึงป่าเบญจพรรณทั่วไปยกเว้นเฉพาะทางภาคใต้เท่านั้นที่ไม่สามารถแพร่กระจายพันธุ์ได้เป็นไม้กลางแจ้งที่สามารถขึ้นได้ดีในดินทุกประเภทและต้องการน้ำเพียงปานกลาง
ลักษณะของต้นไม้โดยรวม เปลือกจะมีความหนาซึ่งเป็นสีน้ำตาลอมเทาสามารถล่อนออกเป็นแว่นๆได้และมีเนื้อภายในเป็นสีเหลือง ใบนั้นจะเป็นใบประกอบแบบขนนก ดอกมีขนาดเล็กที่รวมกันเป็นช่อ ฝักเป็นรูปหอกแต่แบนส่วนหัวท้ายของฝักนั้นจะแหลม ส่วนระบบรากนั้นจะมีความลึกมาก
เนื่องจากไม้ชิงชันนั้นมีลักษณะที่แข็งและเหนียวรวมถึงมีลักษณะที่ดูสวยงามมากดังนั้นจึงนิยมนำมาทำเป็น
เครื่องเรือน เครื่องดนตรีต่างๆ ฯลฯ นอกจากประโยชน์ทางด้านอุตสาหกรรมพื้นบ้านแล้วต้นไม้ชิงชันยังให้ประโยชน์ทางด้านสมุนไพรอีกด้วย

ต้นกันเกรา เป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ขึ้นโดยทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนจะออกดอกเป็น ช่อสีเหลือง มีกลิ่นหอมขจรขจาย ต้นกันเกรามีชื่อเรียกอื่นว่า มันปลา ตำเสา มะซูไม้ต้น นอกจากนี้ต้นกันเกราเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
กันเกรามีชื่อเรียกต่างกันไปคือ ภาคกลาง เรียก กันเกรา ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียก มันปลา ส่วนภาคใต้ เรียก ตำแสง หรือตำเสา ซึ่งถือเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง อันมีชื่อเป็นมงคลและมีคุณสมบัติที่ดีในการใช้ประโยชน์ คือชื่อกันเกรา หมายถึง กันสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายไม่ให้มาทำอันตรายใดๆ ชื่อตำเสา คือ จะเป็นมงคลแก่เสาบ้านไม่ให้ปลวก มอด แมลงต่างๆเจาะกิน ชื่อมันปลา น่าจะเป็นลักษณะของดอกที่เหมือนกับไขมันของปลาเมื่อลอยน้ำไขมันของปลาในถ้วยน้ำแกง โดยเฉพาะช่วงข้าวใหม่ปลามันที่ปลาจะมีความมันและเอร็ดอร่อยเป็นที่สุด
ต้นกันเกรามีลักษณะต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15 - 25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องลึกไม่เป็นระเบียบ
ใบเดี่ยวออกตรงกันข้าม แผ่นใบรูปมนขนาดกว้าง 2.5 - 3.5 เซนติเมตร ยาว 8 - 11 เซนติเมตร ปลายใบแหลมหรือยาวเรียว ฐานใบแหลม โคนมน ใบเขียวมันวาว มีทรงพุ่งเป็นทรงฉัตรแหลมสวยงาม ดอก เริ่มบานสีขาว แล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลือง กลิ่นหอม ผลกลมเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 มม. สีส้มแล้วเปลี่ยนไปเป็นสีแดงเลือดนกเมื่อแก่เต็มที่ มีเมล็ดขนาดเล็กเป็น จำนวนมากนิเวศวิทยา ขึ้นทั่วไปในป่าเบญจพรรณชื้น และตามที่ต่ำ ที่ชื้นแฉะใกล้น้ำ ทั่วทุกภาคของประเทศไทยออกดอก เมษายน - มิถุนายน เป็นผล มิถุนายน - กรกฎาคมขยายพันธุ์ โดยเมล็ด
ประโยชน์ได้แก่ เนื้อไม้สีเหลืองอ่อน เสี้ยนตรง เนื้อละเอียด เหนียว แข็ง ทนทาน ใช้ในการก่อสร้าง นิยมใช้ทำเสาเรือน แก่นมีรสฝาดใช้เข้ายาบำรุงธาตุ แน่นหน้าอก เปลือกใช้บำรุงโลหิต ผิวหนังพุพอง ปลูกเป็น
ไม้ประดับ ลักษณะลำต้นที่สวยงามทั้งลวดลายของเปลือกและเนื้อไม้ เหมาะแก่การนำไปใช้ประโยชน์ทำเครื่องเรือนและเครื่องใช้ต่าง ๆ มีน้ำมันหอมระเหยที่เปลือก
กันเกรามีความสวยงามและกลิ่นหอมไม่เหมือนใคร ทั้งยังเป็นไม้มงคล 1 ใน 9 ชนิด เช่นเดียวกับ
ราชพฤกษ์ ขนุน ชัยพฤกษ์ ทองหลาง ไผ่สีสุก ทรงบาดาล สัก และพะยูง ที่คนนิยมนำมาใช้ในพิธีกรรมเมื่อเวลาก่อสร้างบ้านเรือนให้เป็นสิริมงคล นอกจากนั่นคนอีสานยังนำมาบูชาพระโดยเฉพาะเมื่อเวลางานบุญบวชนาคช่วงเดือนพฤษภาคมหรือเดือน 6 ของทุกปี ก่อนที่จะถึงวันบวชนาคผู้ที่จะบวชนาคต้องมีการเตรียมตัวเตรียมใจอย่างดี เรียกว่า การเข้านาค ผู้ที่จะบวชนาคซึ่งต้องมาเข้านาคนั้นจะต้องแต่งกายชุดสุภาพ มีผ้าแพรหรือผ้าขาวม้าพับอย่างงามพาดบ่า รวมทั้งละเว้นอบายมุขต่างๆ พิธีกรรมหนึ่งของการเข้านาคจะมีการแห่ดอกไม้ก็คือดอกมันปลาหรือดอกกันเกรา จุดเริ่มต้นของขบวนอยู่ที่วัดจากนั้นก็เคลื่อนขบวนแห่ไปตามถนน บ้านเรือนท้องไร่ ท้องนา เพื่อไปเก็บดอกมันปลามาบูชาพระ พร้อมที่จะเข้าพิธีอุปสมบท ในระหว่างการแห่ก็จะมีการตีกลองร้องเพลงไปโดยตลอด เวลาเริ่มแห่ก็ช่วงบ่ายๆพอขบวนจะกลับถึงวัดก็ใกล้ค่ำ พิธีกรรมต่อไปคือนำช่อของดอกมันปลาที่เก็บมาในขบวนแห่จุ่มน้ำแล้วสะบัดให้น้ำจากดอกมันปลาไปสรงพระพุทธรูปบูชาขอพรเป็นอันเสร็จพิธี ผู้ที่ร่วมพิธีกรรมตั้งแต่การแห่จนแล้วเสร็จพิธีจะมีพระ 1 รูป สามเณร คนที่จะอุปสมบท หญิงสาวที่อาจจะเป็นแฟนหรือเพื่อนๆของผู้ที่จะอุปสมบท รวมทั้งเด็กๆด้วย พิธีกรรมนี้จะทำจนกว่าจะถึงวันอุปสมบท เมื่อถึงวันอุปสมบทก็มีพิธีกรรมตามประเพณีซึ่งไม่ขอกล่าวในที่นี้

จามจุรี เป็นชื่อต้นไม้พันธุ์ Albizia lebbeck ในวงศ์ Fabaceae เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียเขตร้อน
ไม้ที่ปัจจุบันรู้จักกันทั่วไปว่าจามจุรี มักหมายถึงจามจุรีแดง (Albizia saman หรือ Samanea saman) เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ มีกิ่งก้านสาขามาก มีใบขนาดเล็ก ดอกสีชมพู มีผลเป็นฝัก เมล็ดแข็ง ผลมีเนื้อสีชมพู รสหวาน
สัตว์เคี้ยวเอื้องชอบกินเป็นอาหาร จามจุรีแดง ยังมีชื่ออื่นอีก คือ "ก้ามปู" และ "ฉำฉา"
ต้นจามจุรีแดง หรือ ต้นก้ามปู ต้นแรกในประเทศไทยปลูกอยู่ภายใน
โรงเรียนอัสสัมชัญ โดยบาทหลวงรอมิเอล ซึ่งเป็นนักบวชที่อยู่ในวัดอัสสัมชัญ เป็นผู้นำพันธุ์มาจากเมืองไซง่อน ประเทศเวียดนาม ต่อมาภายหลังก็เป็นที่แพร่หลายและนิยมนำมาปลูกเป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่เพื่อให้ร่มเงา
จามจุรีแดงเป็นต้นไม้ประจำ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลจังหวัดลำพูน